จิตที่ไม่ใช่วิถีจิตและจิตที่เป็นวิถีจิต
เวลาได้ยินคำไหน ขอให้เข้าใจ ไม่ต้องท่องเลย แต่สามารถที่จะเข้าใจได้ แม้แต่พอได้ยินคำว่า “วิถีจิต” ถ้าไม่รู้ ต้องฟังจนกว่าจะเข้าใจว่าหมายความถึงอะไร และภวังค์ก็เหมือนกัน ถ้าเป็นคำใหม่ หรือเคยเข้าใจว่า ตำราเล่มนั้นว่าอย่างนี้ ซึ่งไม่ใช่คำสอนของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า แต่คิดเอาเอง ก็จะพูดถึงภวังค์ในลักษณะอื่น แต่ถ้าเป็นคำสอนจากการตรัสรู้ จิตที่ทำภวังคกิจ คือ ภว กับ อังคะ องค์ของภพที่จะทำให้ดำรงความเป็นบุคคลนั้น จนกว่าจะถึงจิตขณะสุดท้าย คือ จุติจิต
เพราะฉะนั้นเวลาที่ภวังคจิตยังคงเป็นภวังค์ไปเรื่อยๆ จะไม่มีอะไรปรากฏเลย หลับสนิท ทางตาไม่เห็น ทางหูไม่ได้ยิน ทางจมูกไม่ได้กลิ่น ทางลิ้นไม่ลิ้มรส ทางกายก็ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ทางใจก็ไม่ได้คิดนึกด้วย แต่เป็นผลของกรรม ที่จะทำให้เมื่อเกิดมาแล้ว ก็ต้องเป็นบุคคลนั้นไป จนกว่าจะสิ้นชีวิต
เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นวิบากจิต เป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิด และทำให้ดำรงภพชาติ ทำปฏิสนธิกิจ และทำภวังคกิจ ไม่ใช่วิถีจิต รวมทั้งจิตขณะสุดท้าย คือ จุติจิต ก็ไม่ใช่วิถีจิต
เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ว่า จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต จะมี ๓ ขณะ คือ ปฏิสนธิ ๑ ขณะ จุติจิต ๑ ขณะ ระหว่างที่ยังไม่ตาย ก็จะมีภวังคจิต ทำกิจดำรงภพชาติ ในขณะที่ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสใดๆ นี่คือจิตที่ไม่ใช่วิถีจิต
เพราะฉะนั้นวิถีจิต ก็คือ ขณะเห็น ขณะได้ยิน ขณะได้กลิ่น ขณะลิ้มรส ขณะรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส และขณะที่คิดนึก หรือจะใช้คำว่า “รู้อารมณ์ทางใจ” ก็ได้ แต่ปกติก็คือสภาพที่คิด ถ้าจะให้เข้าใจก็คือว่าเป็นสภาพที่คิด โดยไม่ต้องอาศัยตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นคือวิถีจิตทั้งหมด
เข้าใจแล้วนะคะ จิตที่ไม่ใช่วิถีจิต กับจิตที่เป็นวิถีจิต ยังมีใครสับสนบ้างไหมคะ หรือว่าไม่เข้าใจ เพราะว่าเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย เพราะฉะนั้นเมื่อวิถีจิตจะเกิด ไม่ได้เกิดเพียง ๑ ขณะ การเห็นในขณะนี้ เห็นแล้วก็มียินดียินร้าย มีชอบ ไม่ชอบด้วย แต่ต้องทราบว่า วิถีจิตขณะแรกต้องมี ใช่ไหมคะ เพราะว่าจากภวังคจิตซึ่งไม่ใช่วิถีจิต แล้วก็จะเกิดการเห็นบ้าง การได้ยินบ้าง ซึ่งเป็นวิถีจิต ก็ต้องมีวิถีวิถีจิตขณะแรก เพราะวิถีจิตหมายความถึง จิตที่เกิดสืบต่อ รู้สิ่งที่ปรากฏทางตา คือ เห็น หรือวิถีจิตทางหู ก็คือจิตหลายขณะที่เกิดดับสืบต่อ แต่ก็รู้เสียงที่ยังไม่ดับนั้น เป็นวิถีแต่ละวาระๆ ว่า กำลังรู้อะไร
ที่มา ...