อสัญญสัตตาพรหม
สุ. น่าสงสัยไหมคะ ความวิจิตรของกรรม แต่ต้องเป็นไปตามระดับขั้นด้วย การเป็นกุศลกรรมระดับของทาน ศีล ไม่สามารถเกิดเป็นพรหมบุคคลในพรหมภูมิได้ ไม่ว่าภพภูมิที่มีขันธ์ ๕ มีทั้งนามธรรม และรูปธรรม หรือมีเฉพาะรุปปฏิสนธิก็เกิดไม่ได้
มีใครอยากเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมบ้างไหมคะ ไม่มีนามธรรมเลย ไม่มีอกุศลจิต ไม่ต้องทำกรรมอะไร ไม่ต้องรับประทานอาหารด้วย ไม่ต้องเดือดร้อน ไม่ต้องทำงาน มีใครอยากเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมไหมคะ มีเหตุผลไหมคะที่ไม่อยากจะเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม
ผู้ฟัง ความรู้ก็ยังไม่ถึงที่จะได้เป็นถึงอสัญญสัตตาพรหม และถ้าได้เป็นแล้ว ก็ไม่ได้เจริญกุศลเลย เพราะไม่มีนาม
สุ. แต่คนที่จะไปเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหมได้ เป็นคนที่มีปัญญามาก ที่สามารถให้จิตสงบถึงขั้นฌานจิต พ้นจากการเห็น การได้ยิน การได้กลิ่น การลิ้มรส การรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส การคิดนึกเรื่องกามใดๆ ทั้งสิ้น มีอารมณ์ที่ทำให้จิตสงบได้ จนกระทั่งถึงปัญจมฌาน แต่เป็นผู้เห็นโทษของนามธรรม เพราะฉะนั้นก็ไม่มีความประสงค์ที่จะมีการเห็น การได้ยิน ซึ่งเมื่อเห็นแล้วก็มีปัจจัยที่จะทำให้อกุศลเกิดได้ ท่านเหล่านั้นก็ปรารถนาจะเกิดในภพภูมิที่ไม่มีนามธรรมเลย แต่ว่ายากแสนยากกว่าจะถึงฌานจิตแต่ละขั้น และเมื่อเกิดเป็นอสัญญสัตตาพรหม ไม่มีนามธรรมเลย นานแสนนานกว่าจะพ้นจากสภาพนั้น
เพราะฉะนั้นถ้าเห็นประโยชน์ของปัญญา สามารถอบรมเจริญปัญญาในกาลที่มีคำสอนของพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า ก็มีศรัทธาที่จะรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่สามารถจะรู้ความจริงของสภาพธรรมนั้นจนดับกิเลสได้ ต่างกับกาลสมัยที่ไม่มีคำสอน เมื่อไม่มีคำสอนแล้ว กุศลใดๆ ที่สามารถจะอบรมเจริญได้มากขึ้น บุคคลนั้นก็อบรมเจริญไปตามกำลังของสติปัญญา แต่ว่าถ้าได้ยินได้ฟังคำสอนของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็ไม่มีใครปรารถนาที่จะเป็นอสัญญสัตตาพรหม
เพราะฉะนั้นแทนที่จะอบรมจิตให้สงบมั่นคงถึงขั้นฌานจิต แต่ก็อบรมเจริญปัญญาที่สามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ แม้องค์ของฌานไม่เกิดร่วมด้วยตามระดับขั้นของฌานเลย นี่ก็เป็นความต่างกัน
ที่มา ...