ปฏิสนธิจิตที่เป็นผลของกุศล
ผู้ฟัง ภวังคจิตของบุคคลธรรมดา ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ขณะที่เป็นภวังค์เป็นโสภณหรืออโสภณ ใช่ไหมครับ คำถาม
สุ. ปฏิสนธิจิตเป็นผลของกุศล ก็มี ๒ ประเภท คือ ถ้าเป็นผลของกุศลอย่างอ่อน ปฏิสนธิด้วยอุเบกขาสันตีรณ กุศล วิบาก ยังเป็นผลของกุศล แต่ว่าอ่อนมาก ไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยเลย เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นจะไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยตลอดไปจนกระทั่งถึงจุติ แต่ผู้ใดก็ตามที่เป็นผลของกุศล ที่ไม่ใช่กุศลอย่างอ่อนถึงขนาดนั้น แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญาเจตสิก ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้นก็จะมีโสภณเจตสิก และอโลภะ อโทสะเกิดร่วมด้วย แต่ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย ตั้งแต่เกิดจนตาย จะเปลี่ยนเป็นบุคคลที่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้ แต่สามารถฟังธรรม อบรมเจริญปัญญาให้เข้าใจขึ้นได้ และสำหรับอีกบุคคลหนึ่ง คือ เป็นผู้ที่ปฏิสนธิเป็นผลของกรรมที่ประกอบด้วยปัญญา เพราะฉะนั้นเวลาที่กรรมนั้นให้ผล ปฏิสนธิจิตของบุคคลนั้นก็ประกอบด้วยอโลภเจตสิก อโทสเจตสิก และปัญญาเจตสิก ประกอบด้วยโสภณเหตุทั้ง ๓
เพราะฉะนั้นบุคคลนั้นก็มีปัญญา แล้วแต่ระดับของการสะสมว่า สะสมมามากน้อยต่างกันเพียงไร อย่างผู้ฟังพระธรรมที่พระวิหารเชตวัน ฟังแล้วเป็นปุถุชนก็มี ฟังแล้วปัญญาเกิดระดับขั้นต่างๆ ก็มี ฟังแล้วเป็นพระโสดาบันก็มี เป็นพระสกทาคามีก็มี เป็นพระอนาคามีก็มี เป็นพระอรหันต์ก็มี
เพราะฉะนั้นผู้ที่มีปฏิสนธิจิตเกิดกับโสภณเจตสิกที่มีปัญญาเกิดร่วมด้วย ก็เป็นผู้มีโอกาสที่จะอบรมเจริญปัญญานั้นให้มากขึ้นได้ จนกระทั่งสามารถบรรลุฌานจิตก็ได้ หรือรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ จนรู้แจ้งอริยสัจธรรมก็ได้ แต่ไม่ใช่หมายความว่าต้องเป็นอย่างนั้น ต้องแล้วแต่ว่าสะสมมามากน้อยเท่าไร อาจจะสะสมมา แต่ไม่มีการฟังอีก ไม่มีการพิจารณาธรรมให้เข้าใจขึ้นอีก ก็คงจะเป็นเพียงเท่าเดิม หรืออาจจะไม่มากกว่านั้นเลย หรืออาจจะมากตามกำลังของปัญญาที่เพิ่มขึ้นในชาตินั้นก็ได้
ผู้ฟัง ถ้าอย่างนั้นคนที่พิการตั้งแต่กำเนิดจะเป็นอโสภณจิต
สุ. ปฏิสนธิจิตเป็นกุศลวิบาก แต่ไม่ประกอบด้วยเหตุ จึงเป็นอุเบกขาสันตีรณกุศลวิบากทำปฏิสนธิกิจ
ผู้ฟัง ฟังเหมือนกับว่าคนประเภทนี้ไม่มีทางได้ผุดได้เกิด
สุ. เกิดแน่ค่ะ
ผู้ฟัง คือทำความดีไม่ขึ้น เพราะว่าอโสภณมันเบรนด์ไว้อย่างนั้น ฟังเข้าใจอย่างนี้
สุ. แต่ว่าสัตว์เดรัจฉานไม่มีเหตุเจตสิกสักเหตุเดียวที่เป็นโสภณ ฝ่ายดี และที่เป็นอโสภณเกิดร่วมด้วย เป็นอเหตุกปฏิสนธิ บางกาลมีจิตที่เมตตาได้ไหม นั่นคือปฏิสนธิด้วยจิตที่เป็นอเหตุกะ ไม่มีโสภณเหตุ และอโสภณเหตุเกิดร่วมด้วย แต่มนุษย์เป็นผลของกุศล การสะสมมาของแต่ละคน ไม่ใช่ชาติเดียว แสนโกฏิกัปมาแล้ว ถ้าย้อนถามไป เพียงชาติก่อน เราเป็นใคร ทำกรรมอะไร ชื่ออะไร อยู่ที่ไหน พูดภาษาอะไร ก็ไม่รู้แล้ว
เพราะฉะนั้นไม่ต้องกล่าวถึงแสนโกฏิกัป แต่สภาพธรรมที่สะสมมาทั้งฝ่ายกุศล และฝ่ายอกุศลปรุงแต่งเป็นปัจจัยให้กุศลจิตเกิดเมื่อไร บุคคลนั้นก็รู้ได้ว่า ต้องมีกุศลที่ได้สะสมมาแล้วประเภทนั้นๆ ถ้าเป็นฝ่ายอกุศล โลภะเกิด โทสะเกิด ก็รู้แน่ว่า ต้องมีเหตุปัจจัยที่สะสมมาที่จะเป็นอย่างนั้น
ที่มา ...