ยังไม่เข้าถึงลักษณะหรือภาวะจริงๆ ของจิต


    สุ. ขอร่วมสนทนาด้วยกับท่านที่อยากจะเข้าใจเรื่องจิต และเจตสิก เพราะว่าโดยชื่อ จำได้แล้ว จิต จำได้แน่ เจตสิกก็จำได้ แต่ไม่ใช่ประสงค์เพียงให้จำ แต่ว่าในขณะนี้ควรจะรู้ว่า มีจิตหรือเปล่า ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็ตาม สิ่งนั้นกำลังมีหรือเปล่า สามารถฟังเข้าใจได้หรือเปล่าว่า เป็นสิ่งที่กำลังกล่าวถึง

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้มีสภาพธรรม ๒ อย่าง คือ สภาพธรรมอย่างหนึ่งไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย อย่างเสียง หรือแข็ง หรืออ่อน หรือร้อน สภาพธรรมเหล่านี้ไม่ใช่จิต เพราะไม่สามารถจะรู้อะไรได้ แต่ถ้าโลกนี้มีแต่เพียงอ่อน แข็ง เย็น ร้อน ไม่มีสภาพธรรมที่สามารถเห็น เดี๋ยวนี้ว่ากำลังมีสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างนี้ และมีเสียงที่ปรากฏทางหูอย่างนี้ ถ้าไม่มีสภาพที่เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง สิ่งต่างๆ ก็ปรากฏไม่ได้เลย

    ด้วยเหตุนี้ถ้าเราจะกล่าวว่าจิตเป็นอะไร แต่ว่าขณะนี้มีไหม ข้อสำคัญที่สุด คือ ขณะนี้มีจิตหรือเปล่า เมื่อฟังแล้ว อย่างที่ฟังคุณวิชัยกล่าวถึง เข้าใจเรื่องจิตเป็นอย่างไร ขณะนี้มีจิตหรือเปล่า มี แน่นอนใช่ไหมคะ เกิดมามีจิต และมีชีวิตอยู่ทุกวันก็มีจิต ก็ขอถามว่า ขณะนี้เห็นไหม

    ผู้ฟัง เห็นครับ

    สุ. เมื่อกี้มีจิต และขณะนี้มีเห็น ลองคิดดู กล่าวว่ามีจิต แล้วก็กล่าวว่ามีเห็น เพราะฉะนั้นเห็นเป็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เป็นจิต

    สุ. เห็นเป็นอะไรแน่ คือ ต้องการให้เข้าใจอย่างมั่นคง ที่จะไม่ต้องเปลี่ยน ไม่ต้องท่อง ขณะนี้กำลังเห็น เห็นเป็นอะไรคะ

    ผู้ฟัง เห็นเป็นธรรมชาติของจิตดวงหนึ่ง

    สุ. เห็นเป็นจิต ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า เห็นเป็นจิต กำลังเห็น ชอบสิ่งที่เห็นไหม

    ผู้ฟัง ชอบครับ

    สุ. เพราะฉะนั้นเห็น ไม่ใช่เห็นเปล่าๆ แต่ยังชอบสิ่งที่เห็นด้วย ลักษณะที่ชอบไม่ใช่จิต แต่เป็นสภาพธรรมที่ต้องเกิดกับจิต ไม่เกิดกับอย่างอื่นเลย

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ขณะใดก็ตามที่จิตเกิด เราจะไม่รู้ความจริงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วมีเจตสิกเกิดร่วมด้วยทุกครั้ง เพราะว่าเพียงเห็น ถ้ายังไม่มีลักษณะของชอบหรือไม่ชอบเกิดขึ้น เราไม่สามารถจะรู้ได้ถึงสภาพธรรมที่เกิดกับจิต แต่เราสามารถเพียงเข้าใจได้ว่า ขณะนี้มีจิต เพราะเห็น และเห็นนี่แหละเป็นจิต

    เพราะฉะนั้นนอกจากเห็นแล้ว อะไรเป็นจิตอีกในวันหนึ่งๆ ได้ยิน มีไหมคะ

    ผู้ฟัง มีครับ

    สุ. เป็นอะไร ได้ยินเป็นจิต ยังไม่มีใครตอบเรื่องเจตสิก เพราะว่าแม้เห็นเป็นจิต ได้ยินเป็นจิต ได้กลิ่นเป็นจิต คิดนึกเป็นจิต รู้สิ่งที่กระทบทั้งหมดเป็นจิต เพราะเหตุว่าไม่พ้นจากการที่สิ่งใดที่เกิดขึ้นปรากฏ เพราะจิตกำลังรู้สิ่งนั้นแน่นอน

    ถ้ากำลังนอนหลับสนิท มีจิตก็จริง แต่ขณะนั้นไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส

    นี่เพียงขั้นพิจารณาจากการฟัง เพราะถ้าจะถามว่า ขณะที่นอนหลับ มีจิตไหม ตอบว่าอย่างไรคะ มี ก็ต้องเป็นสิ่งที่เปลี่ยนไม่ได้ ธรรมเป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น สามารถจะเข้าใจได้ โดยที่ไม่ทราบเลยว่า ความต่างกันของจิตขณะที่หลับสนิทกับขณะที่ตื่นขึ้น เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง แท้ที่จริงก็เป็นสภาพธรรมที่สามารถรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏแต่ละทาง เช่น ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจคิดนึก แต่ขณะใดก็ตามที่แม้ไม่เห็น ไม่ได้ยิน เช่นขณะนอนหลับสนิท ก็มีจิต

    เพราะฉะนั้นจิตเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ซึ่งใครจะรู้หรือไม่รู้ก็ตาม บางคนอาจจะกล่าวว่า กำลังหลับ ไม่มีจิต แต่ความจริงถ้าจะเข้าใจว่า คนหลับไม่ใช่คนตาย เขาก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ขณะที่หลับก็ต้องมีจิตด้วย แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เข้าถึงลักษณะของสภาพที่เป็นจิต เพียงแต่รู้ว่า เป็นจิตเท่านั้น

    นี่เป็นเหตุที่แม้ว่าเราจะได้ฟังคำว่า “จิต” คุ้นเคยกับคำนี้ แต่ไม่คุ้นกับลักษณะที่กำลังเห็น ซึ่งเรากล่าวเมื่อกี้ว่า เป็นจิต ไม่คุ้นเคยกับลักษณะที่กำลังได้ยิน ซึ่งเมื่อกี้นี้เราก็บอกว่าเป็นจิต คือเราใช้คำนี้ ด้วยความเข้าใจขั้นที่ได้ฟังเท่านั้นเอง แต่ยังไม่เข้าถึงลักษณะหรือภาวะจริงๆ ของจิต แต่ต้องมีความเข้าใจระดับนี้ก่อน เพราะฉะนั้นจิตเป็นส่วนหนึ่ง ซึ่งไม่ขาดเลย ตั้งแต่เกิดจนตาย เพราะว่าเมื่อจิต ๑ ขณะเกิดแล้วดับไปอย่างรวดเร็ว ก็เป็นปัจจัยทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ โดยไม่มีอะไรคั่น โดยยับยั้งไม่ได้ มีใครสามารถทำให้จิตไม่เกิดได้ไหมคะ ไม่ได้ และมีใครสามารถทำให้จิตเกิด ได้ไหม

    ผู้ฟัง ไม่ได้

    สุ. ก็ไม่ได้ด้วย นี่คือการศึกษาธรรม และเริ่มเข้าใจว่า ธรรมอยู่ที่ไหน และธรรมที่มีในชีวิตประจำวันเป็นอะไรบ้าง

    สำหรับเรื่องจิต ยังมีข้อสงสัยไหมคะ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 261


    หมายเลข 12002
    27 ส.ค. 2567