พากเพียรไปทำ
ถ้าไม่มีปัญญาพอ ไม่สามารถไปทำลายสิ่งที่ห่อหุ้ม แล้วก็เห็นสิ่งจริงๆ ของสิ่งที่อยู่ภายในได้ แค่เอาเล็บไปสะกิดนิดๆ เขี่ยหน่อยๆ แล้วอวิชชาหรือดินที่พอกอยู่อย่างมากมายนั้นจะหลุดหมดไปได้ไหม นี่คือเทียบกับการฟัง แล้วค่อยๆ เข้าใจขึ้น ถึงแม้ว่าสติสัมปชัญญะจะไม่กังวลถึงธรรมซึ่งเกิดแล้วดับแล้วเมื่อกี้นี้ทั้งหมด จะไปกังวลทำไม ในเมื่อรู้แล้วเข้าใจแล้วว่า ไม่มีอะไรเหลือ แต่มีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วสติก็ระลึกสิ่งนั้น กำลังเริ่มรู้ความต่างของขณะที่หลงลืมสติ กับขณะที่สติเกิด
นี่เป็นหนทางที่จะทำให้รู้ได้ว่า ถ้าสติสัมปชัญญะไม่เกิด ไม่มีหนทางใดๆ ที่จะทำลายกองอวิชชาซึ่งหุ้มห่อสภาพธรรมแม้ในขณะนี้ได้เลย ก็ต้องเป็นเรื่องความอดทน ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ ว่า ธรรมเป็นธรรม ธรรมเกิดดับ ธรรมไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ขณะนี้ก็เป็นธรรม แต่ยังไม่สามารถจะเห็นความจริงได้ และไม่มีตัวเราที่จะไปเร่ง ไปพยามยาม ไปพากเพียรทำ บางคนได้ยินข้อความในพระสูตร ฟังมาว่า ให้มีความพากเพียร วิริยะ แค่นี้ค่ะ แทนที่จะเข้าใจวิริยะ ก็จะไปทำวิริยะ ใครก็ทำวิริยะไม่ได้ เพราะว่าทรงแสดงไว้โดยการตรัสรู้ว่า จิตขณะไหนบ้าง มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย โดยปัจจัยที่ไม่ใช่เราทำ แม้แต่ความพอใจเล็กๆ น้อยๆ ชั่วขณะที่เป็นโลภะ เกิดแล้ว วิริยเจตสิกก็เกิดร่วมด้วยแล้ว ไม่ต้องไปทำให้เกิดความติดข้องขึ้น แต่ขณะใดที่มีความติดข้อง ขณะนั้นก็มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย และขณะนี้ จิตขณะไหนไม่มีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย จิตขณะไหนมีวิริยเจตสิกเกิดร่วมด้วย ใครจะไปทำวิริยะ ซึ่งเกิดกับจิตนั้นแล้ว ให้เกิดขึ้น หรือว่าขณะจิตใดไม่มีวิริยะเกิดร่วมด้วย ใครจะไปทำให้วิริยะเกิดร่วมด้วยกับจิตซึ่งไม่มีวิริยะเกิดร่วมด้วย ก็เป็นไปไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นก็ต้อง ฟัง และเลิกคิดเรื่อง ทำ เพราะว่าถ้าจะทำ ก็มีความเป็นเราที่ไม่รู้ตามความเป็นจริงของสภาพธรรม เพราะฉะนั้นที่ทรงแสดงธรรมทั้งหมดตลอด ๔๕ พรรษา ก็เพื่อให้เข้าใจถูกต้องในความเป็นธรรมซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ถ้าขณะนี้มีปัจจัยที่อวิชชาจะเกิด จะเปลี่ยนอวิชชาให้เป็นวิชชาก็ไม่ได้
นี่คือการเข้าใจธรรมว่าเป็นธรรม
ที่มา ...