รูปธรรมที่ปรากฏ ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน


    อ.วิชัย ถ้าพิจารณาโดยเหตุผลจากการฟังเรื่องของปรมัตถธรรม กล่าวว่ารูปนั่งก็ไม่มีจริง แต่ความเข้าใจระดับพิจารณาเหตุผลคิดว่าไม่เพียงพอกับการที่จะเข้าใจจริงๆ ว่า ไม่มี ซึ่งต่างกับการที่สติเริ่มระลึกรู้ในลักษณะที่กำลังปรากฏ อย่างนี้เข้าใจถูกไหมครับ

    สุ. ค่ะ เวลาที่ได้ยินได้ฟังก็พิจารณาสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง เช่นในขณะนี้ถ้าทราบตามที่ได้ศึกษามาก็คือว่า จิตเกิดดับเร็วมาก และจิตก็รู้อารมณ์ทีละหนึ่งอย่าง เพราะฉะนั้นที่ปรากฏเหมือนมีรูปร่างกาย และนั่งอยู่ด้วยความทรงจำ หรือปรากฏรูปร่างสัณฐานเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เป็นการรู้ความจริงของสภาพธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้หรือเปล่า ที่จะแสดงความจริงของสิ่งที่ปรากฏได้ ๖ ทาง อย่างทางตาในขณะนี้ เห็นมานานแสนนานว่า เป็นคน เป็นวัตถุ เป็นสิ่งต่างๆ แต่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จักขุวิญญาณเห็นรูปารมณ์ เพราะฉะนั้นรูปารมณ์ต้องไม่ใช่คนแน่ ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดแน่ แต่เป็นสภาพที่กำลังปรากฏสำหรับผู้ที่มีจักขุปสาท และทั้งจักขุปสาท และรูปารมณ์ก็ดับเร็วมาก ระหว่างที่ยังไม่ดับ มีปัจจัยที่จะทำให้จิตเห็นเกิดขึ้นเห็น แล้วถ้าไม่กล่าวถึงจิตอื่นๆ ที่กำลังรู้อารมณ์ทางตา รูปก็ดับไป เพราะว่ารูปมีอายุเท่ากับจิตเกิดดับ ๑๗ ขณะจิต

    เพราะฉะนั้นจริงๆ แล้ว เราเห็นอะไร

    นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้าไม่รู้อารมณ์จริงๆ ที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เราก็ยังคงมีความเห็นเดิมที่ยึดถือสิ่งที่จำไว้ว่าเป็นเรา เพราะว่าขณะนี้จำได้ มีรูปตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า รูปไหนของใครหายไปบ้างหรือเปล่า มีแค่ครึ่งเดียวหรือเปล่า ที่ศีรษะหายไป ที่เท้าหายไป ที่ตัวหายไปหรือเปล่า

    นี่คือความคิด ความจำที่จำว่า มีทุกอย่างแม้แต่ฟัน ก็มีครบ แล้วแต่ว่าจะถอนไปกี่ซี่ แต่ความจำก็จำเรื่องสภาพธรรมที่รวมกันเป็นนิมิต เป็นสิ่งที่ปรากฏให้คิด และให้จำ โดยที่ไม่รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้ว ทุกอย่างที่ปรากฏในขณะนี้อายุสั้นแสนสั้น เกิดแล้วดับไปหมดเลย แล้วไม่กลับมาอีก แต่ว่าการเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว ทำให้ปรากฏเหมือนเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่มีรูปร่างสัณฐานที่เหมือนปรากฏอยู่ตลอดเวลา ฉันใด การที่จำไว้ว่ามีเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ทั้งๆ ที่รูปหนึ่งรูปใดที่ตัวไม่ได้ปรากฏเลย

    เพราะฉะนั้นการที่คิดว่ามีเรานั่ง ไม่สามารถให้ความจริงได้ เพราะเหตุว่ารูปที่มีจริงจะปรากฏได้ทางหนึ่งทางใดใน ๖ ทวาร มีลักษณะเฉพาะของรูปนั้นที่จะแสดงว่า ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล เป็นลักษณะของสภาพที่เป็นรูปธรรมแต่ละลักษณะ

    อ.วิชัย ครับ พิจารณาตามเหตุผลก็จริงอย่างนี้ แต่เมื่อมีสติเกิดก็มีความเข้าใจ และความมั่นคงมากขึ้น ในการที่จะค่อยๆ รู้ความจริงมากขึ้น ตามที่เข้าใจตามเหตุผลข้างต้น

    สุ. ค่ะ ไม่มีเรา เข้าใจได้ใช่ไหมคะ แม้รูปก็ไม่ใช่เรา แต่ละรูปหมดเลย ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า กระทบสัมผัสปรากฏแล้วหมดไปเลย

    ด้วยเหตุนี้การที่จะหมดความเป็นเราได้จริงๆ ก็ต่อเมื่อได้ประจักษ์ลักษณะของธาตุ ซึ่งเป็นธาตุรู้ ที่กำลังมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดปรากฏทีละอย่าง ขณะนั้นจะไม่มีอย่างอื่นปะปนเลยทั้งสิ้น ยืนยันได้ว่าขณะนั้นไม่มีเรา เพราะว่าสภาพธรรมปรากฏให้รู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละลักษณะ แม้แต่จิตซึ่งเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ ก็ไม่มีรูปร่างลักษณะเลย แล้วก็เกิดแล้ว แล้วก็หมดไปด้วย ถ้ายังไม่ถึงระดับนี้ ก็ยังคงมีเราในความจำ ยังไม่สามารถจะละนิจสัญญา สุขสัญญา อัตสัญญาได้ ต่อเมื่อใดได้ประจักษ์ความจริง จนสามารถดับการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน ด้วยการรู้แจ้งอริยสัจธรรม เมื่อนั้นจะไม่มีการเห็นผิดว่ามีเราอีกต่อไปได้เลย เป็นแต่เพียงลักษณะของสภาพธรรมแต่ละอย่าง


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 272


    หมายเลข 12080
    27 ส.ค. 2567