ไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ที่เที่ยงเลย เป็นสภาพธรรมทั้งหมด
ผู้ฟัง ที่บอกว่า เกิดแล้วดับ แล้วไม่มีอะไรเหลือเลย มันสะท้อนออกมาในใจ แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนหวาดกลัว และยอมรับในสิ่งนั้นไม่ได้
ท่านอาจารย์ ที่หวาดกลัวเพราะเป็นเรา แต่ถ้าเป็นปัญญา ปีติไหมคะ มีโอกาสได้ยินได้ฟัง ได้เข้าใจความจริงซึ่งเป็นอย่างนี้ ไม่เป็นอย่างอื่น และโอกาสอย่างนี้จะมีได้บ่อยไหม ที่จะค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความจริงนี้ จนกว่าสามารถที่จะ๘๒ประจักษ์ความจริงได้
ด้วยเหตุนี้สัจจะจึงเป็นบารมี เป็นผู้ที่ตรง การฟังธรรม ฟังทำไม ฟังเพื่อให้มีความเข้าใจถูกในสิ่งที่มีจริง ที่กำลังปรากฏ
ผู้ฟัง และทุกข์ต่อไปอีกว่า สิ่งที่เรามองเห็น สิ่งที่จับสัมผัสได้รอบๆ ตัว ไม่มีเหลือ แล้วจะต้องเกิดมาทำไม
ท่านอาจารย์ นั่นซิคะ เกิดมาทำไม เพียงแค่ยังไม่ประจักษ์เลย แต่ถ้าประจักษ์จริงๆ คำว่า “เกิดมาทำไม” จะมั่นคงแค่ไหนว่า มีสาระ หรือเปล่า เพียงแค่เกิดมาเห็น แล้วก็หมด ไม่เหลือ เกิดมาได้ยิน แล้วก็หมด แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ เกิดมาคิดนึก แล้วก็ไม่มีอะไรเหลือ เพราะฉะนั้นถ้าได้ประจักษ์อย่างนี้จริงๆ ความมั่นคงว่าเกิดมาทำไม ก็จะรู้ความไม่มีสาระของการเกิดว่าเกิดมาได้สาระอะไรบ้างในชาตินี้ ถ้าไม่ได้ฟังธรรม ไม่ได้เข้าใจธรรม เกิดมาพอกพูนกิเลสมากเข้าไปอีก ทุกครั้งที่ตื่น จะต้องมีการเห็น การได้ยิน ด้วยความไม่รู้ ด้วยความติดข้อง แต่ถ้าเกิดมามีโอกาสได้ฟังธรรม ได้เข้าใจธรรม นี่คือสาระ จนกว่าแม้ขณะนั้นก็ไม่เป็นสาระ เพราะแม้ปัญญาก็เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นปัญญาต้องเจริญ จนกว่าจะเห็นความไม่มีสาระของสภาพธรรมซึ่งเกิดดับ
ผู้ฟัง ถ้าเป็นลักษณะของปัญญาที่เข้าใจคำว่า ไม่มีสาระในชีวิต หรือในลักษณะของปรมัตถธรรมที่แท้จริง จะต้องไม่ทุกข์ หรือคะ
ท่านอาจารย์ ปัญญาจะเป็นทุกข์ไม่ได้เลยค่ะ
ผู้ฟัง ถ้าเราเกิดสภาวะที่ฟังแล้วมีความเข้าใจ แล้วก็รู้ว่ามันไม่มีสาระจริงๆ แล้วไม่มีอะไรเหลือจริงๆ แล้วเกิดความทุกข์โทมนัส
ท่านอาจารย์ ขณะนั้นก็ทราบได้ว่า ทุกข์โทมนัสมาจากไหน ถ้าไม่มีความติดข้องในเรา ในสิ่งต่างๆ จะทุกข์ไหม ทุกคนจะปฏิเสธไม่ได้เลยว่า มีบุคคลที่คุ้นเคย มีบุคคลที่รักเคารพ มีบุคคลที่ติดข้อง บุคคลที่เป็นที่รัก ไม่ว่าจะเป็นมารดา บิดา บุตรธิดา เพื่อนฝูง มิตรสหาย ภรรยาสามี หรืออะไรก็ตามแต่ ก็ยังคงมีปัจจัยให้ความเยื่อใย ให้ความติดข้องเกิด ตราบใดที่ยังไม่ใช่พระอนาคามีบุคคล
เห็นกำลังไหมคะว่า เพียงแค่ฟังนิดหน่อย เป็นทุกข์เพราะไม่มีเรา แต่ถ้าเป็นปัญญาตรงกันข้ามกับทุกข์ เพราะว่ารู้ความจริง ความจริงก็คือไม่มีสัตว์บุคคลใดๆ ที่เที่ยงเลย เป็นสภาพธรรมทั้งหมด และจริงๆ เราอยู่ในโลกคนเดียว เพราะจิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ แลกเปลี่ยนสับกันไม่ได้เลย สะสมมาที่จะเห็น ที่จะคิดเรื่องอะไร ก็เป็นอย่างนั้น การผูกพันกับบุคคลแต่ละบุคคล ซึ่งหลังเห็นแล้วก็เป็นบุคคลนั้นบุคคลนี้ ก็มีปัจจัยที่จะเกิดขึ้น เพราะปัญญายังไม่ถึงระดับที่จะเห็นโทษของความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ซึ่งความจริงไม่มีบุคคล เพราะฉะนั้นปัญญาก็ต้องตามลำดับว่า ปัญญาของพระโสดาบันเห็นถูกตามความเป็นจริงว่า เป็นสภาพธรรมที่เกิดดับ เพราะฉะนั้นเวลาที่สภาพของความติดข้องเกิดขึ้น ปัญญาเห็นถูกว่าเป็นธรรม แต่ถ้าเป็นอวิชชาเกิดขึ้น ความติดข้องเกิดขึ้น พอไม่มีสิ่งนั้นก็โศกเศร้าเสียใจ
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า กำลังของปัญญาต้องมากขึ้น จนกระทั่งสามารถดับกิเลส เชื้อของกิเลสที่สะสมอยู่ในจิต ไม่มีการเกิดขึ้นได้เลย เพราะว่าดับหมดแล้ว
ที่มา ...