นามอินทรีย์


    สุ. เพราะฉะนั้นเราก็ค่อยๆ เข้าใจ ไม่ต้องไปนั่งจำ นั่งท่อง แล้วก็ลืม ถ้าไม่มีความเข้าใจ ฟังอะไรไปก็ลืมหมดจะไปจำอย่างไรได้ เพราะไม่เข้าใจ เพียงแต่จำคำเท่านั้นเอง แต่ถ้ามีความเข้าใจว่า ตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า มีกี่รูปที่เป็นอินทรีย์ เราก็พอที่จะรู้ได้ว่า ที่เหลือเป็นอินทรีย์ที่เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม เพราะฉะนั้นนามอินทรีย์ หรืออินทรีย์ที่เป็นนามจะมีเท่าไรคะ ก็ลบไป แล้วค่อยๆ หา ก็เจอ อย่างเวทนา ความรู้สึก ทั้งหมดเลย ไม่ว่าจะเป็นอุเบกขา โสมนัส โทมนัส ทุกข์ สุข ทางกาย เป็นอินทรีย์หมด เป็นใหญ่จริงๆ เวลาเกิดแล้วก็ครอบงำสภาพธรรมอื่นให้เป็นไปตามสภาพของเวทนานั้นๆ เช่น เวลาที่ทุกข์เกิดขึ้นโทมนัส หมดเลย เจตสิกทั้งหลายที่เกิดร่วมด้วย จะเป็นผัสสะ จะเป็นเจตนา ก็เป็นไปกับความรู้สึกโทมนัสในขณะนั้น

    เพราะฉะนั้นลักษณะของความเสียใจ ความขุ่นใจ ความน้อยใจ ความไม่สบายใจทั้งหมดขณะนั้น เป็นลักษณะของความเป็นใหญ่ของความรู้สึกอีก ๕ เป็นเท่าไรแล้วคะ รูปทั้งหมดที่เป็นอินทรีย์มีปสาทรูป ๕ ภาวรูป ๒ และ ชีวิตินทริยรูป ๑ รวมเป็น ๘ และ มนินทรีย์ ๑ รวมเป็น ๑๔

    จริงไหมคะ

    ผู้ฟัง มีจริงค่ะ

    สุ. เพราะฉะนั้นความเป็นอินทรีย์ เราก็พอจะรู้ได้ว่า เป็นอย่างนั้นจริงๆ เหลืออีกเท่าไร เหลืออีก ๘ มีศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อีก ๕ เพราะเหตุว่าถ้าไม่ได้ฟังธรรม ที่จะเป็นอินทรีย์ ๕ ที่จะเป็นธรรมที่เป็นเครื่องให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็ไม่มี เราก็จะอยู่ในสังสารวัฏฏ์ต่อไปเรื่อยๆ บางคนไม่มีแม้ศรัทธาจะฟังพระธรรม ซึ่งเป็นเพียงขั้นต้น ขั้นต้น คือ ได้ฟังธรรมจากผู้ที่ได้ทรงตรัสรู้แล้ว โดยการเห็นประโยชน์ว่าต้องรู้กว่าบุคคลใดทั้งสิ้น และสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง ต้องเป็นเรื่องละเอียด ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ไม่ใช่เรื่องที่ไม่รอบคอบ ก็สามารถจะเข้าใจได้

    เพราะฉะนั้นในขณะที่กำลังฟังขณะนี้เอง มีศรัทธา หรือเปล่า เห็นไหมคะ เป็นอินทรีย์ที่สามารถทำให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่น้อย หรือมาก เห็นไหมคะ เพียงแค่ครั้งเดียว ๒ ครั้ง ก็ไม่มีทางที่จะทำให้เข้าใจขึ้น จนกระทั่งสามารถรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้

    เพราะฉะนั้นศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญาเกิดขึ้น ก็เป็นอินทรีย์ทางฝ่ายโสภณ แต่แม้ทางฝ่ายอโสภณก็มีอินทรีย์ด้วย เช่น วิริยะก็เป็นอินทรีย์ได้

    อันนี้ก็เป็นเรื่องที่ค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ เข้าใจ พอตรึกบ่อยๆ คล้ายๆ กับสาธยาย เพราะเรารู้จำนวนอยู่แล้วว่า ๒๒ เราก็จะเริ่มคิดว่ามีอะไรๆ นั่นคือการทบทวน การสาธยายให้มีความเข้าใจมั่นคงขึ้น แต่ถ้าเป็นการตรึก แม้เพียงเรื่องเดียว เราไม่ต้องไปครบหมด แต่กำลังไตร่ตรองสิ่งนั้น ก็เป็นการตรึกให้เข้าใจสิ่งนั้นเพิ่มขึ้น

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า เหลืออีก ๓ เป็นโลกุตตระทั้ง ๓ เป็นปัญญาระดับขั้นโลกุตตระตั้งแต่พระโสดาบันถึงพระอรหันต์

    ไม่ต้องท่องแล้วใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ค่ะ ค่อยๆ ทำความเข้าใจไปได้


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 288


    หมายเลข 12175
    26 ส.ค. 2567