ไม่สามารถรู้สิ่งที่สะสมมาว่าลึกมาก ถ้าไม่ปรากฏ
อ.อรรณพ เมื่อตอนต้นพี่เข็มได้กล่าวว่า สำหรับผู้ฟังที่เข้าใจดีแล้ว การฟังพื้นฐานอภิธรรม หรือการศึกษาธรรมก็จะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น ถ้าใครที่ยังไม่เข้าใจ ก็จะได้มีโอกาสเข้าใจ แต่น่าคิดว่า จะมีใครคิดว่าเป็นผู้เข้าใจดีแล้วว่า ใครละคลายการยึดถือในสภาพธรรมได้แล้วบ้าง ใครละคลายการยึดถือสภาพธรรมใดได้บ้างครับ
ผู้ฟัง ความอยากมีอยากได้ เมื่อก่อนจะเป็นพวกวัตถุนิยม แต่ตอนหลังตัวเบาขึ้นเยอะค่ะ แล้วก็คิดว่า ตัวเองมีบุญที่ได้มาพบท่านอาจารย์
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ประโยชน์ของธรรมก็มีหลายระดับ การศึกษาธรรม ได้ฟังในสิ่งที่ถูกต้อง และอาจจะมีการละคลายในขั้นพื้นๆ หรือขั้นหยาบๆ ที่ตัวอย่างที่พี่พรรณีกล่าว กับการที่จะละคลายจริงๆ ระดับของปัญญาต่างกันอย่างไรครับ
สุ. ค่ะ ละคลายได้ชั่วขณะ หรือละคลายได้ทั้งวัน
ผู้ฟัง ตอนนี้เข้าใจว่า ละคลายได้ตลอดเวลา คิดว่าไม่ค่อยอยากมี อยากได้อะไร และจากนี้ไป เราจะไม่สะสมวัตถุ เราจะไม่ซื้ออะไรที่ไม่จำเป็น ยกเว้นเพื่อปากเพื่อท้อง เดี๋ยวนี้เห็นอะไรก็ไม่อยากได้ ไปเที่ยวกับเพื่อน เขาซื้อของกันอยู่ เราก็ไม่อยากได้ มีความรู้สึกว่า ตอนนี้เราสะสมบุญดีกว่า และปกติก็เป็นคนมีเมตตาอยู่แล้ว ตอนนี้ความมีเมตตาก็จะมากขึ้น เราจะโกรธน้อยลง คือ เป็นคนเรียบร้อย และสะอาด เมื่อก่อนนี้เด็กที่บ้านทำอะไรไม่เรียบร้อย ก็จะเรียกมาจ้ำจี้จ้ำไชสอนเขา แต่เดี๋ยวนี้คิดว่า เราสอนเขามาเยอะแล้ว เขาทำได้แค่นั้น ตอนนี้เขาอยากทำอะไรก็ปล่อยให้ทำ ถ้าเขาทำไม่เรียบร้อย เราไปทำต่อ ละความโกรธ มีเมตตามากกว่าเดิมเยอะเลย
สุ. ไม่ได้อยากได้สิ่งใหม่ๆ นะคะ แล้วสิ่งที่มีแล้วละคะ
ผู้ฟัง สิ่งที่มีแล้ว ตอนนี้เริ่มบริจาคไปเยอะแล้ว ยังไม่หมดเลยค่ะ
สุ. คิดว่าจะบริจาคให้หมด หรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่คิดว่าให้หมด เพียงแต่ว่า อะไรที่คิดว่าเกินความจำเป็นแล้ว ค่อยๆ ผ่องถ่ายไป มันเกะกะด้วย เราคิดว่า เรามีไปทำไมเยอะแยะจังเลย
สุ. ค่ะ นี่ก็แสดงให้เห็นว่า เมื่อมีความเข้าใจระดับหนึ่ง ก็ทำให้ขณะนั้นเกิดขึ้นที่จะไม่มีความต้องการสิ่งอื่นเพิ่มขึ้น แต่จริงๆ ยังไม่ได้ดับความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เพราะฉะนั้นจะมองไม่เห็นความลึกของการที่ยังติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ชีวิตของพระโพธิสัตว์บางพระชาติ ท่านก็เป็นผู้ถึงไม่มีอะไร นอกจากบ้านหนังเล็กๆ บ้านหนังนะคะ ไม่ใช่บ้านไม้ บ้านอะไรสะดวกสบาย บ้านหนังเล็กๆ และมีผ้า ๒ ผืน บำเพ็ญพระบารมี แต่ยังไม่ได้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ด้วยความรู้ตามความเป็นจริงว่า ยังมีอยู่ เพราะว่าใครก็ตามถ้ายังมีความเข้าใจผิด ก็จะคิดว่าตัวเองละคลายไปมาก แต่ว่าการละคลายในแต่ละชาติ ไม่ใช่ว่าไม่มี ดูชีวิตของผู้ที่ได้เป็นพระอริยเจ้าในยุคที่ได้ฟังพระธรรม แต่ว่าไม่เสมอไป และไม่ตลอดไป จะกลับมาเป็นอย่างนั้นอีกไหม ลองคิดดู ตราบใดที่ยังมีความพอใจในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในวัยหนึ่ง ในกาลหนึ่ง ในความคิดหนึ่ง ขณะนั้นเป็นปัจจัยที่จะทำให้ไม่หลงไหลไปกับสิ่งที่เคยเป็นที่เพลิดเพลิน แต่ว่าจะเปลี่ยนจากวัยนั้นไป เกิดอีก เป็นเด็กอีก จะมีความติดข้องไหมในสิ่งที่เหมือนชาตินี้ ที่เราก็เคยติดข้องมาในสมัยหนึ่ง ซึ่งยังเป็นเด็ก และยังเป็นผู้ไม่ได้ฟังพระธรรม
เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ธรรมเป็นไปตามการสะสม ถ้าเราไม่เคยฟังธรรมเลย เราก็จะสะสมการเป็นคนใจดี ช่วยเหลือคนอื่น แต่ไม่มีความเข้าใจธรรม แต่เวลาที่เป็นคนดี จิตใจดี ช่วยเหลือคนอื่น และได้ฟังธรรมด้วย ความเข้าใจธรรมมีเพิ่มขึ้น ทำให้การสะสมของเราที่เคยมี ก็สามารถมีโอกาสเกิดขึ้น เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่มากขึ้น เป็นคนที่โกรธน้อยลง มีความเข้าใจคนอื่นเพิ่มขึ้น แต่ตราบใดที่ยังมีความเป็นตัวตน ยังไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง เราไม่สามารถจะรู้สิ่งที่สะสมมาลึกมาก วันนี้เป็นอย่างนี้ อีกวันหนึ่งอาจจะโกรธชนิดที่ตกใจเลยว่า ทำไมถึงสามารถโกรธได้ถึงอย่างนี้ ในเมื่อดูเหมือนว่า จางลงไปพอสมควรจากการได้ยินได้ฟังธรรม
เพราะฉะนั้นธรรมนี่ ถ้ายังไม่เกิดปรากฏ ไม่สามารถจะรู้เลยว่า สะสมมามากน้อยแค่ไหน น่าคิดถึงสภาพของจิตซึ่งเป็นนามธรรม มองไม่เห็นเลย แต่ว่าจิตแต่ละขณะของแต่ละคน ต่างกันหลากหลาย จนกระทั่งเป็นอัธยาศัยต่างๆ สะสมทั้งฝ่ายดี และฝ่ายไม่ดี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงรู้อัธยาศัยของสัตว์โลกที่สะสมมาอย่างละเอียดตามความเป็นจริง แต่เราไม่สามารถจะรู้ได้ แต่รู้เมื่อสิ่งนั้นเกิดขึ้น วันนี้ไม่โกรธ ไม่เสียใจ ไม่ร้องไห้ แต่ว่าวันหนึ่งถ้าเกิดโกรธขึ้นมา จะทำให้รู้สึกได้เลยว่า ยังมีปัจจัยที่จะทำให้ความโกรธ หรืออกุศลระดับนั้นๆ เกิดขึ้นได้ ก็ต้องเป็นผู้ละเอียด และก็ไม่ประมาทด้วย เพราะว่าทั้งหมดที่จะหมดไปได้จริงๆ ไม่เกิดอีกเลย ต้องการรู้แจ้งอริยสัจธรรม มิฉะนั้นคำสอนของคนอื่นที่ไม่ใช่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอาจจะทำให้เราพอใจ หนังสือบางเล่มบอกให้ระงับความโกรธโดยวิธีนี้ หนังสือบางเล่มก็บอกให้ไม่ติดในรูป ในเสียง ให้มีชีวิตที่เรียบง่าย แต่ตราบใดที่ไม่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง สิ่งนั้นๆ ก็เพียงแต่ทำให้เกิดความโน้มเอียงเพียงชั่วคราว แต่ว่าไม่สามารถดับอกุศลเป็นสมุจเฉทได้ ก็ต้องเป็นผู้ที่ตรงค่ะ
วันหนึ่งวันใดเกิดเห็นของถูกใจ ราคาแพง คิดว่าวันนี้ไม่ซื้อ อดไว้ได้ แต่พอถึงจริงๆ ใครจะรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ทุกอย่างเราไม่สามารถจะรู้ล่วงหน้าได้เลย แต่ว่าถ้าได้อบรมเจริญปัญญาพอสมควรในแต่ละชาติ ก็จะทำให้เราไม่เพลิดเพลินหลงไหลในสิ่งนั้นไปชั่วกาลหนึ่ง หรือชาติหนึ่ง แต่พอถึงชาติหน้า สิ่งที่สะสมมาก็สามารถเป็นปัจจัยทำให้เป็นอีกบุคคลหนึ่ง ต่างจากบุคคลนี้ก็ได้
เพราะฉะนั้นแต่ละชาติของแต่ละคน ก็จะมีหลายรูปแบบ บางแบบก็เป็นแบบเรียบง่าย ถึงกับออกบรรพชา อุปสมบท เป็นบรรพชิต ใครจะรู้ว่า ใครไม่เคย แต่อีกชาติหนึ่งก็กลับเป็นอีกคนหนึ่งได้ หรือแม้แต่ในชาติเดียวกัน สมัยหนึ่งก็ไม่ยินดียินร้าย เป็นถึงพระราชา สละราชสมบัติให้น้อง อยู่ไปอยู่มาก็ทวงคืน ก็คิดดูก็แล้วกันว่า ไม่มีอะไรที่แน่นอน ตราบใดที่ยังมีเหตุปัจจัยให้อกุศลประเภทไหนเกิด อกุศลประเภทนั้นก็เกิด ต้องไม่ประมาทเท่านั้นเอง ดีพอ หรือยังคะ
ผู้ฟัง ดีไม่พอค่ะ
สุ. ดีเท่าไรก็ยังไม่พอ ถ้ายังเป็นอย่างนี้ ก็ทำให้เราไม่ละแม้โอกาสเล็กๆ น้อยๆ ที่จะทำดี มิฉะนั้นแล้วเราก็คิดว่า เราไม่ต้องการเรื่องใหญ่ๆ และเรื่องเล็กๆ อันนี้ก็ผ่านไปได้ แต่ว่าตามความเป็นจริงให้ทราบว่า จิตเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ถ้ารู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพียงแค่โอกาสของความดีนิดเดียวก็ทำแล้ว เพราะใครจะรู้ว่า ขณะต่อไปจะเป็นอะไร และดีทั้งหลายก็ยังไม่พอเลย เพราะเหตุว่ายังไม่ถึงการดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ถึงความเป็นพระอรหันต์ ก็จะต้องสะสม และเห็นว่า ไม่มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์เท่ากับดี และที่ดีกว่านั้นอีก คือว่า ต้องประกอบด้วยปัญญา เพราะว่าถึงแม้ว่าจะดีจนกระทั่งไม่มีความติดข้องในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ จิตสงบถึงขั้นฌานจิต ถึงขั้นรูปฌาน อรูปฌาน ก็ยังต้องกลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้
เพราะฉะนั้นที่ทรงเน้น ก็คือเรื่องของปัญญาที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม
ที่มา ...