ถ้ามั่นคงในความเป็นอนัตตาจะมีลักษณะอย่างไร


    สุ. แต่เมื่อปรากฏแล้ว การสืบต่ออย่างเร็วมาก ก็ทำให้สภาพจำ จำ ในสิ่งที่ปรากฏ เป็นนิมิตต่างๆ รูปร่างสัณฐานต่างๆ จึงสามารถจะนึกถึงนิมิตนั้น แล้วก็จำว่าเป็นสิ่งที่ยั่งยืน เที่ยง โต๊ะก็ไม่ได้ดับไป คนก็ไม่ได้ดับไป ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังมี

    นี่คือให้เห็นความต่างกันว่า ปัญญากับความไม่รู้ โมหะ หรืออวิชชา ต่างกันมาก แม้ในระดับของการฟัง ก็ต้องฟังให้เข้าใจให้ถูกต้อง ฟังเพื่อวันหนึ่งจะสามารถรู้ความจริงอย่างนี้ มิฉะนั้นละความเป็นตัวตนไม่ได้เลย ไม่มีทางที่จะดับหมดสิ้นไปได้

    อรวรรณ เดิมเราไม่รู้ว่า เห็น ได้ยิน เป็นจิต เราก็ไม่ได้สนใจว่าคืออะไร ก็คิดว่ามีตัวเราที่เห็น ได้ยิน แต่เมื่อฟังแล้วก็รู้ว่า เห็น เป็นจิตที่ไปรู้สิ่งที่ปรากฏทางตา และได้ยิน ก็เป็นจิตที่รู้เสียง อย่างนี้ก็แสดงว่าเข้าใจในขั้นพื้นฐานบ้างแล้ว

    สุ. ค่ะ ยิ่งฟังยิ่งรู้ว่า ความเข้าใจของเราน้อยหรือมาก และต้องมั่นคงระดับไหน ถึงจะรู้ความต่างของปัญญาที่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงที่กำลังปรากฏ

    อรวรรณ แต่เราจะรู้ว่า เรารู้ขั้นเรื่องราว เพราะเรายังไม่ประจักษ์ตามที่เราฟัง

    สุ. เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องรู้ว่า ศึกษาธรรมเพื่อให้เข้าใจธรรม หรือว่า เรา ศึกษาธรรม พอศึกษาแล้ว เรา มีโกรธ เรา มีโลภ เรา มีจิต เรา มีเจตสิก แทนที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา เมื่อไรจะรู้ว่า เป็นจิต เป็นเจตสิก เป็นรูป ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ศึกษาแล้วยังคงมีความเป็นตัวตน เรามีจิต เรามีเจตสิก เรามีรูป เราหมด

    อรวรรณ ค่ะ จริงๆ จิต เจตสิกก็เกิดดับ แต่เราไปเอามาเป็นเรา

    สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นการฟังธรรมต้องละเอียด มีโอกาสได้ฟังพระธรรมซึ่งยากแสนยากที่จะได้ฟัง จะได้ฟังอีกนานเท่าไร ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ วันนี้หรือพรุ่งนี้เท่านั้นก็ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ฟังด้วยสัจจะ ความจริงใจ และความเป็นผู้ตรง เพื่อเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งผู้อื่นไม่สามารถแสดงความจริงนี้ได้เลย ต้องพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเท่านั้นที่จะทรงแสดงความจริงให้คนอื่นเริ่มได้ยิน ได้ฟัง ได้เข้าใจ ได้อบรมปัญญา เพราะฉะนั้นชาติหนึ่งๆ อบรมความเห็นถูก ไม่ต้องไปกังวลว่าจะรู้เมื่อไร เพราะว่าปัญญาต้องตามลำดับขั้น ถ้า ฟังไม่ดี ก็มีเราพยายามอยากรู้ แต่เป็นตัวเรา ไม่ใช่เป็นการเข้าใจว่า ไม่มีเรา ถ้ามั่นคงใน ความเป็นอนัตตา จะกระวนกระวายอะไรไหม ในเมื่อรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างก็เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ขณะนี้มีปัจจัยแล้วทั้งนั้นเลย จะรู้หรือไม่รู้ ก็มีสภาพธรรมปรากฏให้เห็น ให้ได้ยิน ให้คิด ให้นึก ก็เป็นธรรมทั้งหมด จนกว่าจะเข้าใจขึ้น แต่ละครั้งที่ได้ยินได้ฟัง จนสามารถที่จะรู้ขณะนี้ที่สภาพธรรมปรากฏ

    อรวรรณ แต่ดูเหมือนกับ ธรรมชาติ หรือธรรม เหมือนกับหลอกมาก อย่างเช่นสิ่งที่ปรากฏทางตาเกิดดับ แต่เราก็เห็นว่าไม่เกิดดับ อย่างที่อาจารย์เคยบอกว่า ก้านธูปไปแกว่งแล้วเห็นเป็นวงกลม เรายังเข้าใจว่าตรงนั้นเป็นก้านธูปแล้วไปแกว่งเป็นวงกลม ก้านธูปนี่ช้ามาก และจิตเร็วกว่านั้น ดูเหมือนว่ายากมากๆ เลยกว่าเราจะสามารถเข้าใจได้

    สุ. ถ้าง่าย จะเป็นความจริงหรือเปล่า และง่ายคืออย่างไร จะทำให้ง่าย ทำอย่างไรให้ง่าย

    อรวรรณ จริงๆ มาฟัง ก็เข้าใจขั้นเรื่องราวมากกว่าตอนที่ไม่ฟังเยอะแล้ว แต่ก็คิดว่า ความจริงนี่รู้ยากมากๆ แต่คงต้องอดทน และฟังต่อไป

    สุ. ค่ะ อาจหาญ ร่าเริง ขันติ อดทน วิริยะ ความเพียร สัจจะ ความจริงใจ อธิษฐาน คือ ความมั่นคง ถ้าไม่มี ก็ไม่ใช่บารมี และขณะนี้กำลังเป็นอย่างนั้น ให้ทราบว่า ไม่ใช่เราต้องไปทำอย่างอื่นเลย เพียงกำลังฟังขณะนี้ ก็เป็นบารมีแล้ว เมื่อฟังถูก เข้าใจถูก เห็นถูก แต่ถ้าผิด ก็ไม่ใช่นะคะ

    อรวรรณ เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะทำให้เรามั่นคง และไม่หวั่นไหวก็คือ ฟังให้เข้าใจ และมีศรัทธาเชื่อมั่นว่า แนวทางนี้เป็นแนวทางที่ถูกต้องที่จะทำให้เราเกิดปัญญา รู้ความจริง ใช่ไหมคะ

    สุ. ค่ะ ก่อนฟังมีกุศลขั้นทาน ใช่ไหมคะ

    อรวรรณ มีค่ะ

    สุ. แค่นั้น แล้วก็มีกุศลขั้นศีล วิรัติทุจริต แค่นั้น มีกุศลที่เป็นศรัทธาที่จะฟังธรรมหรือเปล่า สำหรับบางคนไม่มีเลย แต่ผู้ที่ได้สะสมมาแล้ว ก็จะเห็นได้ว่า มีศรัทธาที่จะฟังพระธรรม และศรัทธา ต้องฟังด้วยดี ให้รู้ว่า นี่เป็นธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประจักษ์ ทรงแสดง เพื่ออุปการะแก่สัตว์โลก

    เพราะฉะนั้นเวลาฟังแล้วก็รู้ว่า ขณะนี้เป็นความจริงทั้งหมด เห็นก็จริง ไม่ใช่เราด้วย เกิดแล้วก็หมดไป ได้ยินขณะนี้ไม่ใช่เห็น เกิดขึ้นได้ยิน แล้วก็หมดไป สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง ศรัทธาในพระธรรม ในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ตถาคตโพธิศรัทธา ศรัทธาในพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้จริงๆ จึงได้แสดงความจริงอย่างนี้ และสิ่งที่มีจริง อย่างเห็น อย่างได้ยินอย่างนี้ ไม่เคยคิดเลยว่า ห่างกัน แต่ว่าจากการฟังรู้ว่า พร้อมกันไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นการที่ค่อยๆ ฟังก็จะทำให้เพิ่มศรัทธาที่จะฟังต่อไปอีก เมื่อมีความเข้าใจที่ถูกต้อง และรู้ว่า ไม่ใช่ตัวเราที่อยากจะเร่ง อยากจะรู้ อยากจะไม่เกิด แต่ว่าไม่รู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏเลยสักนิดเดียว มีแต่ความต้องการที่อยากจะถึงนิพพาน อยากจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม โดยไม่รู้ว่า ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนเลย

    เพราะฉะนั้นก็จะเห็นได้ว่า ต้องเป็นความอดทน และต้องเป็นปัญญา ที่จะต้องเพิ่มศรัทธาในพระปัญญาคุณของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ไม่ท้อถอยเมื่อไร ก็คือได้มีศรัทธาเพิ่มขึ้นอีกๆ ที่จะได้ค่อยๆ เข้าใจธรรม จนกระทั่งสามารถที่จะประจักษ์แจ้งได้

    อรวรรณ และต้องฟังด้วยความเชื่อว่า การเข้าใจขั้นฟังจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติเกิด โดยที่เราไม่ต้องหวังว่าให้สติเกิดรู้สภาพธรรม ใช่ไหมคะ

    สุ. ค่ะ เพราะเวลานี้แม้สภาพธรรมเป็นอย่างนี้ก็ไม่รู้ตามความเป็นจริง เพราะอวิชชา เพราะไม่รู้ เพราะฉะนั้นเมื่อมีความรู้ขึ้น สภาพธรรมที่เป็นจริงก็จะค่อยๆ ปรากฏความจริง จากการที่มีสติอีกระดับหนึ่ง คือ สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐาน ตามรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ ไม่ได้ไปที่อื่นเลย ปกติเราไม่เคยตามรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ มีสิ่งที่ปรากฏจริง แต่ไม่เคยรู้ลักษณะนั้น เป็นเรื่องเป็นราวไปหมดเลย อย่างลักษณะที่แข็ง มี เกิดขึ้นแล้ว สติสัมปชัญญะไม่ได้เกิดตามรู้ คือ รู้ตรงแข็ง ไม่ได้คิดเรื่องอื่น ใช่ไหมคะ

    เพราะฉะนั้นเวลาที่สติสัมปชัญญะซึ่งเป็นสติปัฏฐานเกิด ขณะนั้นปัญญาก็สามารถจะรู้ว่า ต่างกับขณะอื่น

    นี่คือขั้นต้นที่จะรู้ว่า ธรรมที่ได้ยินได้ฟังทั้งหมดมีลักษณะจริงๆ เป็นธรรมจริงๆ เมื่อสติปัฏฐานเกิด ถ้าสติปัฏฐานยังไม่เกิด แม้จะฟังเรื่องแข็ง แม้จะฟังเรื่องเห็น แม้จะฟังเรื่องได้ยิน แม้จะฟังเรื่องคิดนึก ก็หมดไปๆ โดยลักษณะนั้นๆ สติ ไม่ได้ตามรู้ที่ลักษณะนั้น เข้าใจในลักษณะที่เป็นธรรมเพิ่มขึ้น

    นี่ก็เป็นความต่างกัน ซึ่งเกี่ยวเนื่องกัน ถ้าไม่มีการฟังที่ทำให้เข้าใจขึ้น ไม่มีทางที่สติสัมปชัญญะเกิด หลงไปทำอย่างอื่น แต่ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏในขณะนี้ได้

    อรวรรณ เพราะฉะนั้นก็ต้องอดทน และมีความตั้งใจที่จะฟังต่อไป

    สุ. ค่ะ อย่างนั้นไม่ทรงแสดงเรื่องบารมี ๑๐ เมื่อมีบารมี ๑๐ ต้องเข้าใจด้วย ขณะนี้เป็นบารมีหรือเปล่า ขณะใดที่เข้าใจถูก เห็นถูก มีความอดทนที่จะเข้าใจยิ่งขึ้น อาจหาญ ร่าเริงที่จะรู้ว่า เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ วันหนึ่งก็สามารถที่จะรู้ความจริงนี้ได้แน่นอน

    อย่างเห็นกับได้ยิน ไม่พร้อมกัน วันหนึ่งต้องรู้ได้ ถ้าสติสัมปชัญญะกำลังตามรู้เห็น คือ ตรงเห็น สภาพที่กำลังเห็น ขณะนั้นไม่ใช่ได้ยิน เริ่มเห็นความต่าง ความห่าง ของสภาพธรรม ๒ อย่าง ก็ต้องเป็นผู้ตรง สัจจบารมี

    อรวรรณ คือฟังในเทป ท่านอาจารย์พูดว่า เห็น ได้ยิน เกิดคนละขณะ ซึ่งเราฟังแล้วพิจารณาไตร่ตรองตรงนี้ ก็เป็นปัจจัยให้สติเรารู้อย่างนั้นจริงๆ รู้อย่างที่เราฟังจริงๆ ในขณะนี้เรารู้เป็นเรื่องราว

    สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นทุกอย่างรู้ด้วยตัวเอง ต้องถามใครไหมว่า ฟังตอนนี้เป็นสติปัฏฐานหรือเป็นปัญญาขั้นฟัง ไม่ต้องถามเลย ถ้าถามคือไม่ใช่ปัญญา ไม่ใช่ความรู้ของตัวเอง

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรมเพื่อพิจารณา จนเข้าใจถูกต้องตามลำดับขั้นเพิ่มขึ้น มิฉะนั้นจะประโยชน์อะไร ฟังแล้วไม่เข้าใจ แล้วต้องถามคนอื่น เสียเวลาที่ฟังแล้วไม่รู้เรื่อง


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 301


    หมายเลข 12246
    27 ส.ค. 2567