เพราะได้ปัจจัย ความคิดนั้นๆ จึงเกิดขึ้น
สุ. นี่ก็คือการเริ่มเข้าใจเรื่องจิต และกิจของจิตว่า เป็นจิตประเภทเดียวกัน เป็นผลของกรรมที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้ในชาตินี้ แล้วแต่ว่าใครจะเกิดเป็นอะไรก็ตามแต่ เกิดเป็นนก เกิดเป็นช้าง เกิดเป็นเทวดา เกิดเป็นมนุษย์ ก็แล้วแต่ว่าเป็นวิบากจิตที่ทำปฏิสนธิกิจแล้วดับไป
หลังจากนั้นแล้ว จิตหยุด ไม่เกิดได้ไหม ไม่มีทางเลย ต้องเกิด และจิตอื่นจะเกิดต่อก็ไม่ได้ นอกจากวิบากจิตที่เป็นผลของกรรมเดียวกันที่ยังไม่สิ้นสุด ก็ทำให้จิตที่เป็นวิบากประเภทเดียวกันนั้นเกิดสืบต่อ ทำภวังคกิจดำรงภพชาติ ยังไม่เห็น ยังไม่ได้ยินเลย ยังไม่เป็นกิริยาจิตด้วย เป็นวิบากจิตดำรงภพชาติไปตลอด จนกว่าถึงกาลที่จะไม่เป็นวิบากจิต
ผู้ฟัง ตรงเมื่อกี้ที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า เมื่อเข้าใจว่าอกุศลเป็นธรรมแล้ว ทีนี้อยากให้ท่านอาจารย์อธิบายถึงต่อไปที่จะถึงจุดของสัมมัปธานข้อ ๑ กับ ข้อ ๒ ที่ว่า มีวิริยะที่ละอกุศลที่เกิดขึ้นแล้วให้หมดไป และถ้ายังไม่เกิด ก็เพียรไม่ให้เกิดขึ้น
สุ. ไม่ใช่เราค่ะ ขณะนั้นเป็นหน้าที่ของวิริยเจตสิกซึ่งเกิดร่วมกับจิตที่กำลังรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏ ซึ่งต่างกับวิริยะขณะอื่น จึงใช้คำว่า สัมมัปปธาน
ผู้ฟัง และที่ใช้ความเพียรว่า ถ้าอกุศลเกิดขึ้นแล้วก็ ...
สุ. มีตัวเราหรือคะที่จะไปทำอะไร หรือมีความเห็นถูกว่า ขณะนั้นก็เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ขณะนี้มีวิริยเจตสิกหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีค่ะ
สุ. มี รู้หรือเปล่า ไม่รู้ เพราะฉะนั้นขณะนั้นก็ต้องมีวิริยเจตสิก ไม่ใช่เราไปทำความเพียร ไม่มีใครทำเจตสิก หรือสภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดได้เลย แต่ให้เข้าใจให้ถูกต้องว่า ขณะนั้นต้องมีวิริยเจตสิกแล้วแน่นอน แล้วกำลังทำหน้าที่ของวิริยเจตสิกที่เป็นไปกับสติสัมปชัญญะด้วย
อ.วิชัย การศึกษาธรรม ก็เพื่อเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง เราคงไม่ลืมว่า ขณะนี้สภาพธรรมก็กำลังเป็นไปอยู่ ที่กล่าวว่า เป็นบุคคลนั้นบ้าง เป็นบุคคลนี้บ้าง มีสิ่งของต่างๆ บ้าง แต่ตามความเป็นจริง ธรรมคือได้เหตุได้ปัจจัยก็เกิดขึ้น เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป การดับไป ก็คือ ไม่กลับมาอีกเลย อย่างเช่นขณะนี้มีจิตเกิดขึ้นเป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ จิตที่เกิด หมายถึงว่าพร้อมด้วยปัจจัยแล้วจึงเกิด
เพราะฉะนั้นถ้าศึกษาเรื่องปัจจัยต่างๆ ของสภาพธรรม ก็สามารถเข้าใจความเป็นอนัตตาจริงๆ ว่า ไม่มีบุคคลใดเลยที่จะบังคับ สร้าง หรือให้มีได้ แม้ความคิดในขณะนี้ แต่ละท่านก็มีความคิดแตกต่างกัน แต่ความคิดที่เป็นจิต เป็นนามธรรม เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ขณะนั้นได้เหตุปัจจัยก็เกิด ปัจจัยต่างๆ เช่น การสั่งสมมาให้มีความคิดต่างๆ หรือการฟัง การพิจารณา การไตร่ตรองธรรม เพราะเหตุว่าได้เหตุปัจจัยแล้ว อย่างเช่นแสดงเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ก็มีปัจจัยให้จิตเกิดขึ้นพิจารณา ไตร่ตรองในเรื่องของตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันนี้ก็คือได้เหตุปัจจัยแล้ว สภาพธรรมนั้นจึงเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นการฟัง การพิจารณา เพื่อเข้าใจจริงๆ ว่า ขณะนี้ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล แต่เป็นเพียงธรรมที่ได้เหตุปัจจัยแล้วก็เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่มีที่จะกลับมาเกิดอีกเลย
ดังนั้นดูเหมือนเราอยู่อายุยืนนาน มีเราตลอดเวลา แต่ตามความเป็นจริงสติเกิดรู้ว่า มีสภาพธรรมจริงๆ ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป ดังนั้นความเข้าใจธรรม อาจจะศึกษาแล้วเข้าใจ มีปัจจัยให้เกิดความคิดเรื่องราวต่างๆ แต่ก็รู้ความจริงว่า ขณะนั้นเพราะได้ปัจจัยนั่นแหละ ความคิดนั้นๆ จึงเกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นความเข้าใจถูก ความเห็นถูก ก็ได้มาจากการฟัง การพิจารณา การไตร่ตรอง แล้วปัญญาค่อยๆ รู้ขึ้นจากการได้ยินได้ฟัง
ที่มา ...