รู้ลักษณะเพียงชั่วขณะที่สั้นๆ นั้น คือ การตามรู้ลักษณะ
ผู้ฟัง โดยหลักการแล้ว ตามรู้กับรู้ก่อน ต่างกันอย่างไร
สุ. รู้ก่อนรู้อะไรคะ เวลานี้ถ้าสิ่งหนึ่งสิ่งใดยังไม่ปรากฏ จะรู้สิ่งนั้นได้ไหม เสียงยังไม่มี จะรู้ลักษณะของเสียงที่ปรากฏได้ไหม เสียงอะไรก็ตามแต่ ถ้าไม่เกิดขึ้นปรากฏ จะรู้ลักษณะของเสียงนั้นได้ไหม
ผู้ฟัง ไม่ปรากฏก็รู้ไม่ได้
สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นเวลาที่ปรากฏแล้วไม่รู้ กับปรากฏแล้วรู้เสียงที่กำลังปรากฏ ต่างกัน เพราะฉะนั้นจะรู้สิ่งที่ปรากฏ จึงใช้คำว่า “ตามรู้” เพราะว่าปกติธรรมดาแข็งปรากฏ ก็เป็นช้อนเป็นส้อม คิดนึกเรื่องต่างๆ สิ่งที่กำลังปรากฏก็เป็นคน เป็นสัตว์ เป็นต้นไม้ เป็นดอกไม้ เลยไปหมด ไม่ได้ตามรู้ลักษณะจริงๆ ของสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นตามรู้ ไม่ได้หมายความว่า ไปคิดเองให้สิ่งที่ไม่มีเกิดขึ้นให้รู้ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขณะนี้ รู้ได้เลย เกิดแล้ว ไม่มีใครทำ แสดงความเป็นอนัตตาว่า สิ่งนี้มีปัจจัย เลือกไม่ได้ เป็นอย่างนี้ เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งใดกำลังปรากฏ ขณะนั้นกำลังรู้ลักษณะ ชั่วขณะที่สั้นมากนั้น คือการตามรู้ลักษณะ ก่อนที่จะคิดนึกเรื่องราวต่างๆ
ผู้ฟัง ผมว่าวิธีตามรู้นี่ ช้าไป
สุ. ช้าหมายความว่าอย่างไรคะ
ผู้ฟัง ที่ปรากฏนั้นเกิดก่อนแล้ว ถึงจะรู้
สุ. สิ่งที่ปรากฏเพราะเกิด เมื่อสิ่งนั้นปรากฏแล้ว ปกติคุณวิจิตรคิดเรื่องอะไร กำลังเห็น คิดเรื่องอะไร
ผู้ฟัง ก็ยังไม่คิด
สุ. เห็นอะไรคะ
ผู้ฟัง เห็นสี
สุ. คิดคำว่า สี หรือว่ากำลังเข้าใจลักษณะที่ปรากฏ
ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่ปรากฏ
สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นขณะที่กำลังเดี๋ยวนี้ ปกติธรรมดา คุณวิจิตรเห็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นสิ่งที่ปรากฏ
สุ. เห็นอะไรละคะที่ปรากฏ
ผู้ฟัง อะไรปรากฏก็เห็นสิ่งนั้น
สุ. เดี๋ยวนี้เห็นอะไร
ผู้ฟัง เห็นอาจารย์
สุ. ค่ะ เห็นไหมคะ คิดแล้ว โดยไม่รู้ตัวเลยว่า เห็นแล้วคิด เพราะฉะนั้นไม่ได้ตามรู้ลักษณะที่เป็นสิ่งที่ปรากฏจริงๆ ว่า จะอย่างไรๆ ก็ตามสิ่งนี้ปรากฏเท่านั้น หลังจากนั้นก็เป็นความคิดมากมายจากสิ่งที่ปรากฏ
เพราะฉะนั้นตามรู้ลักษณะที่มีจริงๆ ของแต่ละลักษณะให้เป็นความเห็นที่ถูกต้องในแต่ละลักษณะตามความเป็นจริงว่า เป็นธรรมแต่ละลักษณะที่ปรากฏแต่ละทาง ยังไม่ได้มารวมกันเลย
ถ้าจะเข้าใจความหมายของ “ตามรู้” ก็คืออย่างนี้ ปัญญารู้อะไรคะ
ผู้ฟัง ปัญญารู้ความเป็นรูปเป็นนามของ
สุ. รู้สิ่งที่ปรากฏ ถ้าไม่ปรากฏ รู้ไม่ได้ เพราะฉะนั้นขณะนี้สีสันวัณณะกำลังปรากฏ ปัญญารู้อะไร มีความเห็นถูกในอะไร มีความเห็นถูกว่า สิ่งที่ปรากฏเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ จะเป็นอื่นใดไม่ได้ ถ้าไม่คิดก็ไม่เป็นอะไรเลย เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏแล้วก็ดับไป แต่เพราะคิดก็เลยไม่รู้ความจริงของสิ่งที่ปรากฏ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เราที่ตามรู้ แต่เป็นสติสัมปชัญญะที่มีความเข้าใจถูกว่า ความจริงของสิ่งที่ปรากฏคืออย่างนี้เอง เมื่อไรจะรู้ความจริงอย่างนี้ จนกระทั่งเห็นถูกว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล สภาพธรรมแต่ละทางก็ปรากฏแล้วก็ดับไปแต่ละทางเท่านั้นเอง วิธีหรือหนทางที่อบรมเจริญปัญญา คือ ฟัง และมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น
ที่มา ...