ความติดข้องเกิดเนื่องจากอะไร


    ผู้ฟัง คุณอรรณพคะ จริงๆ แล้วที่เราติดข้องก็เพราะเนื่องจากว่ามีสี มีกลิ่น แล้วก็มีรสที่ประกอบอยู่ในมหาภูตรูป จึงทำให้เรามีความติดข้อง กรุณาให้ความสำคัญตรงนี้ด้วยค่ะ

    อ.อรรณพ มหาภูตรูปเป็นรูปที่เป็นใหญ่ เป็นประธาน คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเป็นพระปัญญาของพระผู้มีพระภาคที่พระองค์ทรงรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ซึ่งสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วดับไป แต่ไม่ได้รู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นธาตุที่ไม่รู้อะไรเลย เป็นรูปธรรม พระองค์ก็ทรงทราบว่า แม้รูปนั้นจะเป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย แต่ก็มีความต่างกันของรูป เพราะรูปธรรมหรือรูปธาตุในที่นี้ หมายถึงสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลย ก็มีประเภทต่างๆ กันไป ไม่ใช่รูปทุกอย่างจะเหมือนกันหมด อย่างสีกับเสียง ก็ไม่เหมือนกัน ทุกคนก็พิสูจน์ได้ในขณะนี้ว่า สีที่ปรากฏทางตา กับเสียงที่ปรากฏทางหู ก็ไม่เหมือนกัน พระองค์ทรงตรัสรู้ว่า รูปที่อยู่เป็นกลุ่มๆ แต่ละกลุ่มจะต้องมีรูปที่เป็นหลัก เป็นประธาน ก็คือธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม รูปอื่นๆ ซึ่งเป็นสภาพไม่รู้เหมือนกัน แต่ความต่างของสภาพของรูปก็มี

    เพราะฉะนั้นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเป็นธาตุหลัก จึงเป็นที่อาศัยของธาตุอื่น ธาตุที่มาอาศัยรูปอื่นๆ รูปอื่นๆ ที่มาอาศัยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ก็คืออุปาทายรูป อย่างน้อยก็ต้องมีสี มีกลิ่น มีรส มีโอชา เป็นอย่างน้อย เพราะฉะนั้นกลุ่มที่เล็กที่สุด ไม่ว่าจะเกิดจากสมุฏฐานใดใน ๔ สมุฏฐาน ไม่ว่าจะเกิดจากกรรมเป็นสมุฏฐาน จิตเป็นสมุฏฐาน อาหารเป็นสมุฏฐาน หรืออุตุเป็นสมุฏฐาน ก็ตาม กลุ่มเล็กที่สุด ๘ รูป ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ซึ่งเป็นธาตุหลัก และธาตุที่อาศัย ก็มีสี กลิ่น รส โอชา ซึ่งสีที่ปรากฏทางตา เห็นสี เราไม่ได้เห็นธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่เห็นธาตุสี คือ วัณณรูปที่ปรากฏทางตา แต่จริงๆ แล้ววัณณรูปก็ต้องอาศัยมหาภูตรูป คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่ว่าไม่ได้ปรากฏทางตาสำหรับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม ธาตุดินก็ปรากฏทางกาย

    เสียงที่เราได้ยิน กลาปที่มีเสียงนั้น ก็ต้องประกอบด้วยธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม แต่เสียงปรากฏทางหูเท่านั้น เพราะฉะนั้นไม่ใช่มีรูปเสียงลอยๆ อยู่เพียงรูปเดียว แล้วเราได้ยินเสียง แต่จริงๆ แล้ว กลาปที่มีเสียงนั้น ก็ต้องมีธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม มีสี กลิ่น รส โอชา แต่เป็นเสียงที่เป็นธาตุอย่างหนึ่งที่ปรากฏทางหูเท่านั้น

    ผู้ฟัง คือดิฉันคิดว่า กิเลสมาจากตรงที่สี เสียง กลิ่น รส ตรงนี้

    อ.อรรณพ จริงๆ แล้ว กิเลส คือ โลภะ โทสะ โมหะที่เกิดภายในตน ในบุคคลใดตามการสะสมมา เป็นกิเลสกาม แต่สี เสียง กลิ่น รส และเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เพราะฉะนั้นเราติดทั้งมหาภูตรูป ทั้งอุปาทายรูป แต่ตัวสี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย อันนี้เป็นวัตถุกาม คือ เป็นที่ติดข้องของกิเลส

    เพราะฉะนั้นกิเลสไม่ได้อยู่ที่สี กิเลสไม่ได้อยู่ที่เสียง กิเลสไม่ได้อยู่ที่กลิ่น ไม่ได้อยู่ที่รส ไม่ได้อยู่ที่สภาพเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว

    ด้วยเหตุนี้พระองค์ท่านจึงทรงแสดงรูปธรรม และนามธรรม และยังทรงจำแนก รูปธรรม และนามธรรมอีกว่า รูปเป็นรูปขันธ์ รูปทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นสี เสียง กลิ่น รส เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ตึง ไหว เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไร เป็นส่วนของรูป หรือเป็นกอง เป็นกลุ่มของรูป ไม่รู้อะไรเลย ไม่ใช่ธาตุรู้ แต่แสดงทำไม เพราะเป็นที่ติดข้องของกิเลส ซึ่งเป็นสภาพรู้

    เพราะฉะนั้นพระองค์ทรงแสดงธรรม และแจกแจงเป็นรูปขันธ์ และแสดงรูปขันธ์ต่างๆ เพราะว่ารูปขันธ์ ถึงแม้จะไม่รู้อะไรเลย แต่เป็นที่ติดข้อง ไม่ใช่กิเลสไปอยู่ที่สี ไม่ใช่กิเลสไปอยู่ที่เสียง

    ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นเราจะไปโทษรูปไม่ได้เลย เพราะรูปเขาไม่รู้อะไร

    อ.อรรณพ เพราะฉะนั้นก็มีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนไป ก็จะปิดตา ปิดหู ปิดจมูก ปิดลิ้น ไม่ให้รู้สี ไม่ให้รู้เสียง ไม่ให้รู้กลิ่น ไม่ให้รู้รส เพราะคิดว่าสี เสียง กลิ่น รส นั้นเป็นตัวกิเลส แต่จริงๆ แล้วทรงแสดงว่า เป็นวัตถุกาม

    เพราะฉะนั้นที่พระองค์ท่านให้รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง รู้ทั้งกิเลสกาม คือ ตัวโลภะ ตัวกิเลส ว่าเป็นสภาพนามธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะติดข้อง เป็นตัวติดข้องโดยตรง แล้วก็รู้ทั้งสิ่งที่โลภะนั้นติดข้อง ก็คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และนามธรรมต่างๆ ด้วย

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมที่เป็นที่ยึดติดของกิเลสทั้งหมด ก็ควรรู้ว่าเป็นสภาพธรรม แม้รูปซึ่งไม่รู้อะไรเลย ก็เป็นที่ยึดติด


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 316


    หมายเลข 12325
    26 ส.ค. 2567