อายตนะภายใน-อายตนภายนอก
ก็ทบทวนเรื่องอายตนะได้ ใช่ไหมคะ คือ รู้สึกได้ยินได้ฟังอะไรมา ก็จบเป็นเรื่องๆ แต่ถ้าได้ยินได้ฟัง และทบทวนถึงสิ่งที่เราได้ยิน และอาจจะสนใจ เพราะว่ามีคนที่ได้ยินคำว่า “อายตนะ” และอยากจะรู้ว่า อะไรเป็นอายตนะ และอายตนะก็กล่าวไว้ว่า มี ๑๒ เป็นภายใน ๖ และเป็นภายนอก ๖ แม้ว่าจะได้พูดไปแล้ว แต่เมื่อมีการเห็น เมื่อไร มีการได้ยินเมื่อไร มีการคิดนึกเมื่อไร ซึ่งเป็นธรรมที่มีจริง ก็พูดเรื่องอายตนะได้ เพื่อจะได้เข้าใจทันทีขณะที่สภาพธรรมนั้นปรากฏ
คำถามของคุณบุษบงรำไพ เรื่องของรูปภายใน รูปมีถึง ๒๘ แต่ว่าเพียง ๕ รูปที่เป็นภายในก็น่าคิด ใช่ไหมคะว่า ทำไมกล่าวว่าเป็นรูปภายใน
ขณะเห็น ทุกคนทราบว่า ถ้าไม่มีจักขุปสาท เห็นเกิดได้ไหม ขณะนี้จริงๆ ที่มีสิ่งที่ปรากฏทางตา เพราะมีจักขุปสาทรูป รูปอื่นคิดถึงหรือเปล่า รูปอะไรๆ อีกตั้ง ๒๗ รูปนั่น คิดถึงหรือเปล่าคะ ก็ไม่ได้คิดถึง เพราะฉะนั้นรูปไหนเป็นภายในที่สามารถทำให้จิตเกิดขึ้น แล้วเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏ ก็ต้องรูปที่เป็นจักขุปสาท
ด้วยเหตุนี้แม้รูปจะมีต่างกันไปเป็นประเภทต่างๆ แต่ในขณะใดที่จิตเกิดขึ้นรู้อารมณ์ ขณะนั้นอาศัยรูปใด รูปนั้นเป็นรูปภายใน ซึ่งขณะนั้นมีอยู่ตรงนั้น ไม่ได้นอกจากตรงนั้นเลย ต้องมีอยู่ เพราะฉะนั้นสำหรับจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท เป็นรูปภายใน เพราะเหตุว่าแม้มีรูปอื่น แต่รูปเหล่านี้ไม่มีเลย จะมีการรู้อะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจได้ไหม เห็นก็ไม่มี แต่รูปอื่นมี ได้ยินก็ไม่มี แต่รูปอื่นมี ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส เหล่านี้ก็จะต้องมีเพราะปสาทรูป ซึ่งเมื่อเป็นอย่างนี้จึงเป็นรูปภายใน คือ เราไม่ไปคิดถึงความเข้าใจของเราเองว่า ภายในคืออะไร แต่ความหมายของภายในมี ๒ ความหมาย อัชฌัตตะ คือ ภายใน พาหิระ คือ ภายนอก รูปของเราตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า เป็นภายในเมื่อเทียบกับรูปอื่น ซึ่งไม่ใช่รูปตรงนี้ รูปอื่นของคนอื่นเป็นภายนอก นี่เป็นความเข้าใจตามลำดับทั่วๆ ไป ตั้งแต่เริ่มต้นของคำว่า “ภายใน” มีความหมายอะไรบ้าง ถ้าตรงนี้ที่เคยเป็นของเรา เคยเป็นเรานั่นแหละค่ะคือภายใน ถ้าไม่ใช่ของเราเป็นคนอื่น ขณะนั้นก็เป็นภายนอก เพราะไม่ใช่เรา นี่ความหมายหนึ่ง แต่ความหมายที่ละเอียดกว่านั้น เมื่อไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นการที่จิตแต่ละขณะจะเกิดขึ้นได้ แม้รูปอื่นๆ มี แต่ถ้ารูปนี้ไม่มีในขณะนั้น จิตเห็น จิตได้ยิน จิตได้กลิ่น จิตลิ้มรส จิตรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย และจิตที่เกิดสืบต่อรู้อารมณ์แต่ละทาง ก็เกิดไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ในขณะเห็น คิดถึงหทยวัตถุหรือเปล่า คิดถึงธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม หรือเปล่า คิดถึงภาวรูปหรือเปล่า ไม่มีปรากฏในที่นั้นเลย ด้วยเหตุนี้จึงเป็นภายใน และต้องมีประชุมอยู่ในขณะนั้นด้วย คือ ยังไม่ดับไป จึงเป็นอายตนะ เพราะเหตุว่าสภาพธรรมที่จะเกิดขึ้นได้ ต้องอาศัยปัจจัย ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมาได้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีในขณะนั้น ตรงนั้น ที่ขาดไม่ได้เลย จึงเป็นอายตนะ คือ มีจิต และมีเจตสิก และมีปสาทรูป และมีรูปารมณ์ หรือว่าอารมณ์อื่นๆ สำหรับทวารอื่นๆ
พอจะเข้าใจไหมคะ คือ ความเข้าใจของเราแม้ในขั้นปริยัติ เราก็พอจะมองเห็นว่า ที่ทรงแสดงไว้ เพื่อให้เห็นว่า ไม่ใช่เราเลย และแม้รูปทุกรูปไม่ใช่เรา แต่แต่ละขณะ รูปแต่ละรูปก็ต่างกันไปอย่างไร คือ ไม่ใช่รูปทั้งหมดเป็นภายใน ถ้าไม่กล่าวโดยตัวเอง และคนอื่น ก็กล่าวเฉพาะรูปที่ขณะนั้นมีอยู่ ในขณะที่จิตเกิดขึ้นรู้รูปที่ปรากฏ
ที่มา ...