การสะสม
ผู้ฟัง ขอถามอาจารย์วิชัยค่ะ เมื่อกี้ได้ยินว่า จิตเกิดขึ้นดวงหนึ่งสะสมทั้งกุศล และอกุศลเลยหรือคะ จิตที่เป็นกุศลก็สะสมกุศล จิตที่เป็นอกุศลก็สะสมอกุศลไม่ใช่หรือคะ
อ.วิชัย การสะสมสืบต่อ จิตที่เป็นกุศลเกิดขึ้นก็สะสม จิตที่เป็นอกุศลเกิดขึ้นก็สั่งสม แต่สั่งสมที่ไหนครับ
ผู้ฟัง ที่จิตค่ะ
อ.วิชัย อย่างเช่นจิตเกิดดับสืบต่อกัน การสั่งสมก็ไม่สูญหายไปไหน แม้จิตดวงนั้นดับไปแล้ว แต่ก็ยังมีการสืบต่อของการสั่งสมแก่จิตอีกดวงหนึ่ง
ผู้ฟัง ทีนี้ถ้าจิตดวงนี้สั่งสมทั้งกุศล และอกุศลได้
อ.วิชัย ต้องเข้าใจว่า จิตสั่งสม หมายถึงว่า เป็นนามธรรม บางครั้งเราอาจคิดอย่างรูป แต่จิตไม่ใช่รูป นามธรรมไม่ใช่รูป นามธรรมไม่มีสรีระ ไม่มีรูปร่างอะไรเลย การสั่งสม อย่างเช่น บางบุคคลสั่งสมการให้ทาน กุศลจิตที่เป็นไปในการให้ทาน ก็เป็นไปตามการสั่งสม ตามความเป็นปัจจัยก่อนๆ
ผู้ฟัง คือจิตดวงเดียวทั้งกุศล และอกุศล ไม่น่าจะเป็นไปได้
อ.วิชัย ท่านอาจารย์จะให้ความหมายของการสั่งสมไหมครับ
สุ. เวลาเกิดขณะแรก มีจิตกี่ขณะ
ผู้ฟัง ๑ ขณะ
สุ. เป็นชาติอะไรคะ
ผู้ฟัง ชาติวิบาก
สุ. ไม่ใช่กุศล อกุศล ใช่ไหมคะ แล้วมีการสั่งสมของกุศลอกุศลในปฏิสนธิจิตขณะนั้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง น่าจะมีค่ะ
สุ. ก็เปลี่ยนแล้วใช่ไหมคะ คือ มีทั้งการสะสมที่ได้สะสมมาแล้วในปฏิสนธิจิต ๑ ขณะพร้อมทั้งที่เมื่อมีปัจจัยของอกุศลประเภทใดเกิด อกุศลประเภทนั้นก็เกิด ถ้ามีปัจจัยที่กุศลประเภทใดจะเกิด กุศลประเภทนั้นก็เกิด เพราะว่ามีการสะสมของกุศล และอกุศลในจิตทุกขณะ สืบต่อกัน เพราะว่าจิตขณะหนึ่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ไม่กลับมาอีกเลย ถ้าอย่างนั้นก็หมดไปเลย ไม่มีอะไรเหลือ แต่ว่าเมื่อเป็นกุศล และอกุศลดับไป ก็ทำให้การเกิดขึ้นนั้นแหละ แม้ดับไปแล้ว ก็มีปัจจัยสืบต่อที่จะทำให้กุศลประเภทนั้น หรืออกุศลประเภทนั้นเกิด คือ ชีวิตจริงๆ เป็นอย่างนี้ การศึกษาธรรมเพื่อเข้าใจธรรม เพื่อให้รู้ว่า ไม่ใช่เราเลย แล้วใครที่จะรู้ทั่วถึงได้ ก็คือว่า สามารถจะแสดงความจริงของแม้จิต ๑ ขณะ ที่ทำกิจต่างกัน อย่างปฏิสนธิจิตเป็นชาติวิบาก เป็นผลของกรรม และกรรมที่ได้กระทำมาแล้วในแสนโกฏิกัปที่ยังไม่ได้ให้ผล ก็สะสมสืบต่อจนถึงกาลที่จะให้ผลเมื่อไร วิบากซึ่งเป็นผลของกรรมนั้นก็เกิด
เพราะฉะนั้นเวลาที่วิบากเกิด ผลของกรรมเกิด เราไม่สามารถจะรู้ได้เลยว่า นี่เป็นผลของกรรมชาติไหน เป็นชาตินี้ที่ได้กระทำไว้ หรือเป็นชาติก่อนนี้ หรือว่าเป็นชาติก่อนๆ นานมาแล้ว แม้พระผู้มีพระภาคเวลาที่วิบากของพระองค์เกิด เช่น ทรงประชวร ก็ทรงแสดงถึงเหตุในอดีตนานมาแล้วที่สะสมสืบต่อ เป็นปัจจัยทำให้อกุศลวิบากเกิดขึ้นได้ทางกาย ถ้าไม่มีการสะสมที่จะทำให้ผลเกิดขึ้น ไม่มีกรรมในอดีตที่ได้กระทำแล้ว วิบากก็ไม่มี
ด้วยเหตุนี้เมื่อดับกิเลสหมด ไม่มีทั้งกุศล และอกุศลที่จะทำให้เกิดวิบากหลังจากที่ปรินิพพานแล้ว แต่ตราบใดที่ยังไม่ปรินิพพาน กรรมที่ได้กระทำแล้ว ก็สามารถเป็นปัจจัยทำให้วิบาก คือ ผลเกิดขึ้น
ขณะเห็น เป็นผลของกรรมใช่ไหมคะ เป็นผลของกรรมไหน
ผู้ฟัง อกุศลหรือกุศลค่ะ
สุ. บอกไม่ได้เลย ไม่รู้ เพียงแต่รู้ว่าเป็นวิบาก คือ เป็นผลของกรรมที่ได้กระทำแล้ว ยังมีเหตุที่สะสมอยู่ในจิตที่เห็นหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง มีค่ะ
สุ. ยังมีปัจจัยพร้อมที่ว่า เมื่อเห็นดับไปแล้ว ถึงกาลที่กุศลจิตจะเกิด อกุศลจิตจะเกิด ก็เกิด
อ.อรรณพ การที่จิตของใครจะเป็นกุศลหรืออกุศล ก็เพราะอุปนิสัยในอดีตที่เคยสะสมอกุศลอย่างนั้นมา หรือกุศลอย่างนั้นมา เพราะฉะนั้นก็ดูเหมือนว่า คนที่สะสมอกุศลมา ก็จะมีการเกิดอกุศลอย่างนั้นๆ แล้วก็สะสมอกุศลอย่างนั้นๆ เรื่อยๆ ไป ถ้าอย่างนั้นจะสะสมสิ่งที่ดี ค่อยๆ เปลี่ยนไปได้อย่างไร
สุ. ก็สะสมทั้งกุศล และอกุศล และกุศล และอกุศลที่สะสมนี่ปนกันหรือเปล่าคะ
อ.อรรณพ ไม่ปนครับ
สุ. ปนกันไม่ได้เลย
อ.อรรณพ แต่ก็อยู่ในจิตแต่ละขณะ
สุ. ถ้าไม่อยู่ในจิต จะอยู่ที่ไหน ลองหาที่อยู่ซิคะ ก็ไม่มีใช่ไหมคะ ก็ต้องอยู่ในจิตขณะต่อไปนั่นเองทีละ ๑ ขณะ
บางคนตระหนี่ มีไหมคะ สะสมไปอีก ก็ตระหนี่มาก เป็นอาสยะ แต่ไม่ใช่เป็นอนุสัย อาสยะ หมายถึงการสะสมทั้งกุศล และอกุศลที่ได้เกิดขึ้น
เพราะฉะนั้นเวลาที่เกิดความตระหนี่ขึ้น เป็นอกุศล ก็สะสมเป็นอุปนิสัย จะเห็นว่าบางคนก็ตระหนี่มาก ถ้าเป็นผู้ที่ได้สะสมมา ความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ก็จะทำให้รู้ว่า จะเก็บไว้ทำไมกับสิ่งที่ไม่ใช้ ไม่เป็นประโยชน์กับใครเลย แม้แต่กับตนเอง แต่ถ้าไม่ตระหนี่ และสามารถให้เป็นประโยชน์กับคนอื่นได้ ขณะนั้นก็จะค่อยๆ คลายความตระหนี่ ก็แล้วแต่กำลังของปัญญาที่สะสมจะทำให้มีการคิดนึก มีการกระทำที่เป็นกุศล และอกุศลต่างกันไปอีกในแต่ละชาติ แต่ให้ทราบความต่างกันของอาสยะ กับอนุสัย เพราะเหตุว่าสำหรับอาสยะ สะสมทั้งกุศล และอกุศลทั้งหมด ความตระหนี่ ความริษยา ก็เป็นอาสยะ แต่ไม่เป็นอนุสัย
ด้วยเหตุนี้จึงต้องทราบว่า ทำไมจึงทรงแสดงอาสยานุสยญาณ ทั้ง ๒ อย่าง และสำหรับเรื่องการสะสม คนเรามีแต่อกุศลเท่านั้นหรือ หรือว่าบางกาลก็เป็นกุศล ถ้าบางกาลเป็นกุศล ถ้าไม่มีการสะสมมาเลย กุศลประเภทนั้นจะเกิดได้ไหม หรือว่าถ้าไม่มีการสะสมของอกุศลมาเลย อกุศลประเภทนั้นจะเกิดได้ไหม ก็ไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ถึงกาลที่กุศลจะเกิดขึ้นเพราะมีปัจจัย เรื่องปัจจัยเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ถ้าฟังเรื่องราวในพระไตรปิฎกก็จะเห็นอัธยาศัยของแต่ละท่านในครั้งอดีตเนิ่นนานมาแล้ว จนกระทั่งถึงชาติที่มีโอกาสได้ฟังธรรม และได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม แต่ละท่านก็มีอกุศล และกุศลที่ได้สะสมมา อย่างผู้ที่สะสมอกุศลมา แล้วก็เกิดเป็นคนยากไร้ เป็นโรคเรื้อน แต่ว่ามีโอกาสฟังธรรม ก็สามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ก็เป็นการแสดงให้เห็นว่า อกุศลก็สะสมฝ่ายอกุศล และกุศลก็สะสมฝ่ายกุศล แล้วแต่ว่าเป็นโอกาสของกรรมใดในชาติไหนที่จะทำให้สามารถมีกุศลประเภทใดเกิดขึ้น
ที่มา ...