“ทุกอย่างเป็นธรรม” เหมือนเข้าใจ
คนที่สะสมกุศล และสะสมอกุศลด้วย เวลาที่จะจากโลกนี้ไป ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่า กรรมไหนจะให้ผล อย่างม้ากัณฐกะ ทุกคนคงรู้จัก พระผู้มีพระภาคประทับม้ากัณฐกะ ออกจากพระนครเพื่อบำเพ็ญสมณธรรม ทำไมเป็นม้ากัณฐกะ หลังจากที่สิ้นชีวิตแล้ว เกิดเป็นเทพบุตรลงมาเฝ้า ฟังธรรม เป็นพระโสดาบัน ไม่มีใครสามารถจะรู้ได้เลยถึงความซับซ้อน ความละเอียดของกุศล และอกุศลแต่ละขณะที่สะสมไป แต่ว่าสามารถจะรู้ได้ว่า มีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นหรือเปล่า ธรรมที่ได้เข้าใจแล้ว เข้าใจระดับไหน บางคนคิดว่า ฟัง “ทุกอย่างเป็นธรรม” เหมือนเข้าใจ กำลังเห็นขณะนี้เป็นธรรมหรือยัง
นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ขั้นฟัง พอจะรู้ พอจะเข้าใจ ไม่ยากที่จะรู้ว่า สิ่งที่มีจริงทั้งหมด มีลักษณะต่างกัน อย่างเห็น ไม่ใช่ได้ยิน ไม่ใช่คิดนึก ความจำก็ไม่ใช่ความรู้สึก ก็พอที่จะรู้ได้ว่า เป็นธรรมแต่ละลักษณะซึ่งต่างกันไป แต่ว่าในขณะที่จำ เป็นธรรมหรือเปล่า ตรงกับที่เข้าใจหรือเปล่า เพราะว่าความเข้าใจต้องมั่นคงตั้งแต่พื้นฐาน และไม่เปลี่ยนด้วยนะคะ ถ้ามีความเข้าใจเพียงชื่อว่า ทุกอย่างเป็นธรรม ก็พูดตาม แต่เวลาเห็นยังไม่ใช่เป็นธรรม เวลาคิดนึกก็ยังไม่ใช่เป็นธรรม เป็นเรา
ด้วยเหตุนี้จึงต้องเป็นผู้ที่ตรง มีความเข้าใจธรรมที่ได้ฟังจริงๆ หรือฟังแล้วก็จำ แล้วก็รู้ว่า จริงๆ แล้วต้องเข้าถึงความเป็นธรรม เมื่อกล่าวว่าทุกอย่างเป็นธรรม เห็นต้องเป็นธรรม ได้ยินต้องเป็นธรรม เสียงต้องเป็นธรรม กลิ่นต้องเป็นธรรม และทุกอย่างมีจริงทั้งนั้นเลยในชีวิตประจำวัน เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วก็คิดนึกเรื่องสิ่งที่ปรากฏทางตายาวมาก ได้ยินเสียง ไม่ได้หมดเพียงแค่ได้ยินเสียง ยังคิดนึกเรื่องราวตามที่ได้ยินอีก ยาวมาก
เพราะฉะนั้นก็แสดงให้เห็นว่า ตลอดทั้งวันก็เป็นธรรมแต่ละลักษณะ ฟังจนกระทั่งเป็นสัญญา ความจำที่มั่นคงจริงๆ สามารถที่จะระลึกลักษณะที่เป็นธรรมได้ เพราะเหตุว่าที่กล่าวว่า เป็นธรรม ไม่ใช่กล่าวลอยๆ ขณะนี้มีธรรมกำลังปรากฏ พูดเรื่องธรรม เพื่อให้เข้าใจยิ่งขึ้น เพิ่มขึ้น แม้ทีละเล็กทีละน้อย ก็มีความเข้าใจถูกว่า เป็นธรรม แต่ยากไหมคะ ขั้นฟังนี่ไม่ยากที่จะเข้าใจได้ เพียงเข้าใจนะคะ แต่ถ้าต่อไปๆ ยากมากที่จะเข้าถึงลักษณะของจิตเห็น ที่กำลังเห็นในขณะนี้ เพียงเห็น แต่เป็นอย่างนี้หรือเปล่า ไม่ใช่เพียงเห็น
เพราะฉะนั้นกว่าจะรู้จริงๆ ว่า ไม่มีอะไรเลย แม้แต่เรา แต่มีเห็นกับสิ่งที่ปรากฏ
นี่คือความจริงที่จะต้องเข้าถึงลักษณะของธรรม จึงจะกล่าวได้ว่า เข้าใจธรรมจริงๆ ไม่ใช่เพียงได้ยินได้ฟังแล้วก็เห็นไป แล้วก็บอกว่า เห็นก็เป็นธรรม ได้ยินก็เป็นธรรม
เพราะฉะนั้นจึงต้องเป็นผู้ที่ตรงที่จะมีความเห็นถูก เข้าใจถูกว่า นี่เป็นความเข้าใจขั้นฟัง ซึ่งไม่สามารถประจักษ์แจ้งในความเป็นธรรม ในขณะที่กำลังเห็น จนกว่าเมื่อไร ฟังไปอีกเท่าไร ใครบอกได้ไหมคะ ไม่ได้ แต่สะสมที่จะค่อยๆ เข้าใจ และเห็นประโยชน์ ถ้าเป็นผู้ที่ตรง ก็จะไม่หันไปหาการกระทำอื่น ที่ไม่สามารถจะเข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ โดยเข้าใจว่า สามารถที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมโดยไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ถ้าเป็นผู้ที่มั่นคงอย่างนี้ วันหนึ่งต้องถึงค่ะ จะช้าหรือเร็วก็ดูตัวอย่างของพระสาวกทั้งหลายในอดีตที่ได้สะสมมา แต่ด้วยความเป็นผู้ตรงที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วฟังเรื่องสิ่งที่กำลังปรากฏ ยังไม่ต้องไปไกลถึงเรื่องปัจจัยอะไรๆ ก็ได้ แต่ว่าเมื่อฟังก็ทำให้คล้อยตามไปในความอนัตตายิ่งขึ้นว่า เป็นธรรม
ที่มา ...