พื้นฐานพระอภิธรรมจริงๆ อยู่ที่ไหน
คุณอุไรวรรณ มีคำถามจากท่านผู้ฟังถามว่า การบริจาคที่ดินสร้างสถานธรรมในแนวเจ้าแม่กวนอิม เขาบอกว่าเป็นพระพุทธศาสนา จะเป็นกุศลหรือไม่ ขอบพระคุณค่ะ
สุ. ต้องการคำตัดสินใช่ไหมคะ หรือจะเข้าใจขณะไหนเป็นกุศล ขณะไหนไม่ใช่กุศล เพราะเหตุว่าว่า สภาพธรรมเกิดดับเร็วมาก มากจนกระทั่งถ้าไม่ศึกษาลักษณะของสภาพจิตแต่ละลักษณะ จะสับสนปะปนกัน
เพราะฉะนั้นก็ต้องศึกษาสภาพธรรมคือจิตให้เข้าใจ แล้วสามารถจะเข้าใจได้ ไม่ใช่เพียงพูดแล้วก็ตัดสินว่า ขณะนั้นเป็นกุศล ขณะนี้ไม่ใช่กุศล แต่ว่าเป็นสภาพที่มีจริง และกำลังปรากฏให้เข้าใจถูก
เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ลืมว่า ฟังเพื่อเข้าใจ แต่ไม่ใช่เพื่อตัดสินว่า เป็นกุศล หรือไม่ใช่กุศล และใครจะตัดสินละคะ หรือว่าความเห็นถูกในสภาพของจิตที่กำลังเป็นอย่างนั้นในขณะนั้น ถ้าล่วงเลยขณะนั้นไปแล้ว ใครจะไปบอกว่า เป็นกุศลหรืออกุศล รู้ได้อย่างไร เพราะฉะนั้นคนอื่นก็บอกไม่ได้ นอกจากปัญญาของผู้ที่ฟังธรรม เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้นขณะนั้นเริ่มรู้ลักษณะที่ไม่ใช่ตัวตน ยังไม่ต้องเป็นผู้ตัดสินว่า เป็นกุศลหรืออกุศล เพียงแต่ว่าเป็นธรรม ให้รู้ว่าเป็นธรรม ก็ยังไม่ถึงการที่จะรู้ว่า คิดขณะนี้เป็นธรรม แต่ว่าไปคิดเรื่องอื่นที่จะตัดสินว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล ก็เป็นเรื่องของแต่ละท่านซึ่งเมื่อกุศลจิตเกิดก็รู้ เมื่ออกุศลจิตเกิดก็รู้ แต่ว่าไม่ใช่ไปคิดเรื่องราว และก็บอกว่าเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
ไม่ทราบเป็นที่พอใจหรือเปล่านะคะ เพราะรู้สึกว่า อยากให้มีการบอก มีการตัดสิน แต่ปัญญาของใคร แล้วก็เชื่อหรือเปล่า แล้วก็เป็นจริงหรือเปล่า แล้วใครจะรู้ กับความจริง ซึ่งกุศลจิตก็เป็นกุศลจิต อกุศลจิตก็เป็นอกุศลจิต เปลี่ยนไม่ได้เลย แต่ต้องรู้ในขณะนั้น ไม่ใช่ในขณะอื่น และเมื่อรู้ว่าเป็นธรรม ก็จะคลายความเป็นเรา แต่ถ้าตัดสินอย่างนี้ ก็ไม่ได้คลายความเป็นเรา เพราะไม่ใช่ความรู้ของตัวเอง
ผู้ฟัง คือดิฉันมีความรู้สึกว่า ในขณะที่อกุศลหรือกุศลจิตเกิด จะสะสมเลยทันทีในขณะที่อยู่ในชวนวิถี อันนี้ใช่หรือเปล่า
อ.วิชัย เพราะเหตุว่าโดยที่แสดงไว้ กล่าวถึงการสั่งสมสันดาน ด้วยสามารถของชวนวิถีจิตที่เป็นกุศล อกุศล และมหากิริยาจิตที่เป็นของพระอรหันต์ เพราะโดยจิตเหล่านี้สามารถจะสั่งสม
ผู้ฟัง ที่ดิฉันเน้น หมายความว่าทันทีในขณะซึ่งกุศลหรืออกุศลเกิด อันนี้ก็น่ากลัวมากๆ เลยในขณะที่กุศลหรืออกุศลเกิด เขาเก็บทันที สะสมทันที อันนี้ถ้าเราเรียนแล้ว จะเห็นความน่ากลัวของชวนวิถีมากๆ เลย เพราะฉะนั้นคนที่มีอารมณ์อะไรมากๆ รุนแรง ก็จะสะสมมากๆ ต่อไป อันนี้ก็เป็นบทเรียนที่ควรจะคิด แต่ก็บังคับบัญชาไม่ได้ มีวิธีอย่างไรไหมคะอาจารย์
สุ. แล้วจะทำอย่างไรละคะ อนัตตา
ผู้ฟัง อันนี้คือปัญหาไงคะ ก็มีอยู่ทางเดียว คือ หมั่นอบรมเจริญปัญญาเท่านั้นเอง ช่วยได้อันนี้อันเดียว
สุ. ถ้ามีความเข้าใจธรรม ก็ไม่สูญหายเลย
ชื่อว่า “พื้นฐานพระอภิธรรม” แล้วจริงๆ พื้นฐานพระอภิธรรมอยู่ที่ไหนคะ เดี๋ยวฟังแต่ชื่อ แล้วก็จำได้ว่า เราจะสนทนาเรื่องพื้นฐานพระอภิธรรม และพื้นฐานพระอภิธรรมจริงๆ อยู่ที่ไหน ไม่พ้นจากที่เราได้ฟังมาเมื่อกี้นี้เลย คือ ไม่มีตัวตน ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล มีแต่สภาพธรรมซึ่งต่างกันไปเป็นจิต เจตสิก รูป และเมื่อกี้ก็พูดเรื่อง “สันตานะ” เรื่องการสั่งสมของกุศลอกุศลทั้งหมด ขณะนี้ที่ฟัง มีความเข้าใจที่จะเป็นพื้นฐานสะสมอยู่ในจิต ที่จะทำให้สภาพของจิตต่อไปประกอบด้วยปัญญา ตามระดับขั้นของความเข้าใจ
เพราะฉะนั้นก็ไม่ใช่ว่า ฟังแล้วหมดไปเลย ทุกครั้งที่ได้ยินได้ฟัง แต่ความเข้าใจซึ่งเกิดจากการฟัง ก็สะสมเป็นพื้นฐานของจิตแต่ละคนที่จะเจริญขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายกุศลหรืออกุศลก็ตาม อกุศลเกิดขึ้น ๑ ขณะ สะสม ที่ต่อไปก็จะมีอกุศลเพิ่มขึ้นๆ ตามอัธยาศัยที่ปรากฏให้เห็นว่า แต่ละคนอัธยาศัยต่างกัน ต้องมีเหตุ คือ สภาพธรรมนั้นๆ เคยเกิด แล้วก็เป็นปัจจัยที่จะทำให้เกิดอย่างนั้นๆ อีก
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเรื่องของปัญญา จากการมีศรัทธาที่จะฟัง แล้วก็มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น ความเข้าใจ คือ ปัญญา ไม่ใช่เฉพาะปัญญาเท่านั้นที่เพิ่ม ศรัทธา และโสภณธรรมอื่นๆ ก็เพิ่มขึ้นด้วย ตามกำลังของความเข้าใจ เป็นพื้นฐานของจิต ซึ่งไม่ว่าเราจะไปเกิดที่ไหน ภพไหนอย่างไร ความเข้าใจอันนี้ก็จะทำให้ได้เกิดศรัทธาที่จะฟัง และเพิ่มความเข้าใจขึ้น แต่ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด และเป็นผู้ที่รอบคอบ เป็นผู้ที่มีความมั่นคง และมีความเข้าใจที่ไม่สับสน เช่น ถ้ารู้ว่า ธรรมทั้งหลาย อยู่ที่ไหน ต้องรู้ ใช่ไหมคะ อะไรเป็นธรรม จึงเป็นธรรมทั้งหลาย แล้วยังเป็นอนัตตาอีก ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ของใคร การฟังอย่างนี้บ่อยๆ เพื่อให้เป็นพื้นฐานที่สะสมที่มั่นคง ที่จะเข้าใจยิ่งขึ้น ตรงยิ่งขึ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม ถ้ามีความเข้าใจมากขึ้น สามารถที่จะละคลายความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน หรือเป็นเราได้ในวันหนึ่งค่ะ ไม่ใช่ฟังวันนี้ พรุ่งนี้ก็จะละได้ อันนั้นเป็นไปไม่ได้เลย ก็ต้องทราบว่า ความลึกของความไม่รู้ซึ่งมีมาก สะสม ทับถมทวีคูณกี่เท่าก็ไม่ทราบ มากมายจนกระทั่งกว่าปัญญา ความเห็นถูก จะค่อยๆ อบรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย แม้แต่สิ่งที่กำลังปรากฏขณะนี้ มี ถ้าไม่เคยฟังธรรมเลย ไม่มีทางที่จะเข้าใจได้ว่า เป็นธรรม ต้องเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เที่ยงอยู่ตลอดเลย แต่แม้จะได้ยินได้ฟังอย่างนี้ ขณะนี้เป็นธรรมทั้งหมด ไม่มีอะไรเลยซึ่งไม่ใช่ธรรม สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ลองคิดถึงความไม่รู้ และการสะสมการยึดมั่นถือมั่นในสิ่งที่ปรากฏว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดมากแค่ไหน เพราะเพียงแต่ได้ยินคำว่า “สิ่งที่ปรากฏทางตา” สะสมพื้นฐานของจิต ของปัญญา พอที่จะรู้ว่า ขณะนี้เป็นอย่างนั้นจริงๆ ไม่เป็นอย่างอื่น ไม่มีใครสักคนในสิ่งที่ปรากฏ สิ่งที่ปรากฏเป็นสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ และเมื่อมีการเห็นขณะใด ลักษณะของสภาพธรรมอย่างนี้ก็ปรากฏ จะเปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย แต่ก็ห้ามความคิดนึก และสัญญา ความจำที่คลาดเคลื่อน ไม่ตรงตามความเป็นจริง เพราะว่าสภาพธรรมไม่ได้ปรากฏตามความเป็นจริง เพราะปัญญายังไม่ได้อบรมที่จะสามารถรู้ตามความเป็นจริงได้ ทุกครั้งที่เห็น ก็เป็นเห็นคน เห็นสัตว์ เห็นวัตถุสิ่งต่างๆ
เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผู้ที่ตรงต่อธรรม พระธรรมที่ทรงแสดง เพื่อจะให้ผู้ฟังเกิดปัญญาของตนเอง
ที่มา ...