ไม่มุ่งตรงต่อความจริง ไม่เคารพความจริง ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรม


    ผู้ฟัง ระหว่างคนตาบอดสีกับคนปกติ คนตาบอดสี สิ่งที่เห็นก็จะไม่เหมือนคนปกติใช่ไหมครับ อยากจะถามว่า สภาพจิตของคน ๒ คนนี้ จิตเห็นจะต่างกันหรือเปล่าครับ

    สุ. จิตเห็นทำหน้าที่อะไรคะ

    ผู้ฟัง ทำหน้าที่เห็น

    สุ. ไม่ว่าจะตาบอดสี ไม่บอดสี จิตเห็นก็ทำหน้าที่เห็น

    ผู้ฟัง สภาพของจิตจะเหมือนกันหรือต่างกัน อย่างไร

    สุ. ค่ะ คุณแสงธรรมรู้สึกว่าตาไม่บอดสี แล้วรู้จักตัวเองในขณะที่กำลังเห็นหรือเปล่า หรือว่ากำลังเห็นก็ไปคิดถึงคนตาบอดสี ถ้ายังไม่รู้จักสภาพธรรมที่มีจริง ที่นี่ ขณะนี้ จะไปรู้ในขณะที่คิดถึงเรื่องคนตาบอดสีไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นจะเห็นได้จริงๆ ว่า การศึกษาธรรม แม้แต่ฟังว่าศึกษาธรรม ดูเหมือนเข้าใจว่า ศึกษา ไม่ได้ศึกษาเรื่องอื่น แต่ศึกษาธรรม ทีนี้ศึกษาเพื่อเข้าใจ ถูกต้องไหมคะ จึงได้ศึกษา พิจารณาธรรม และขณะนี้กำลังมีธรรมด้วย แล้วก็ยังไม่ได้เข้าใจธรรมที่มี แต่ไปคิดถึงธรรมที่ไม่มี และคิดว่าจะเข้าใจได้ไหม ไม่ว่าจะเป็นตาบอดสี หรือไม่ใช่ตาบอดสี ไม่ว่าขณะที่เห็นตอนเด็ก จนกระทั่งถึงขณะนี้ และต่อไป เห็นมีจริงๆ และไม่ได้เปลี่ยนด้วย แต่ว่าเห็นตอนเด็กอาจจะชัดเจน พอถึงอายุมากขึ้นแก่แล้ว การเห็นก็ไม่ชัดเจนเหมือนตอนเด็ก จะเรียกว่าอะไรไม่สำคัญ จะบอดสีไม่บอดสี จากสีที่เคยใสกระจ่าง มาเป็นสีที่ไม่ชัด เหลืองๆ หรือว่าไม่ได้เป็นสีเดิม ก็ไม่จำเป็นที่เราจะต้องไปคิดว่า บอดสีหรือเปล่า

    เพราะฉะนั้นขณะนั้นให้ทราบว่า ไม่ว่าจะเห็นที่ไหน ขณะไหน จากการที่มีเห็น จะใช้คำว่า กับเรา ก่อนที่จะได้ศึกษาธรรมก็ได้ เพราะเหตุว่าเมื่อเกิดขึ้นมีปรากฏ ควรที่จะเข้าใจให้ถูก

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม จะมีความเข้าใจยิ่งขึ้น เมื่อรู้ตรงตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ไปศึกษาเรื่องราวที่อื่นเลย แต่ขณะนี้ศึกษาธรรม เพราะเหตุว่าเข้าใจว่าเป็นตัวเรา แต่ความจริงเป็นธรรม เพราะฉะนั้นเมื่อศึกษาธรรม จะรู้ธรรมที่ไหน เมื่อไร ก็คือเมื่อขณะที่สภาพธรรมนั้นกำลังปรากฏ ถ้ามีความเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ ขณะอื่นจะเหมือนกันไหม เป็นธรรมหรือเปล่า ก็ต้องเป็นธรรม ซึ่งไม่พ้นจากทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ

    เพราะฉะนั้นการศึกษาธรรม ต้องเข้าใจแม้คำว่าศึกษาธรรม มิฉะนั้นเราก็ผิวเผินมาตลอด ศึกษาธรรมเป็นเรื่องราว จิต ๘๙ โลภมูลจิต ๘ และเดี๋ยวนี้ล่ะ จิตอะไร ก็ไม่รู้เลย และจะศึกษาธรรมหรือเปล่า หรือจะศึกษาเพียงชื่อของธรรม คุณแสงธรรมมีอกุศลมากไหมคะ

    ผู้ฟัง มากครับ

    สุ. รู้หรือคะ แม้อกุศลมากก็ยากที่จะรู้ อย่างอวิชชา ความไม่รู้ ก็ไม่เคยคิดเลยว่าไม่รู้อะไร แม้แต่ขณะนี้เดี๋ยวนี้ แต่เมื่อฟัง ก็เริ่มที่จะรู้ว่า การศึกษาธรรม ก็คือ สิ่งที่กำลังปรากฏเป็นธรรม ฟังเรื่องนี้ เพื่อให้เริ่มมีความเข้าใจถูกในขั้นการฟัง อยากจะหมดกิเลสไหมคะ

    ผู้ฟัง ไม่อยาก

    สุ. ไม่อยากก็ไม่ต้องฟัง แต่จริงๆ แล้วทุกคนก็เหมือนลืม ฟังธรรมก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งซึ่งเหมือนอยากฟัง อยากรู้ว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้ และทรงแสดงอะไร ก็เป็นส่วนของความอยากรู้ เพื่ออะไร

    อันนี้ก็ต้องคิดด้วย ถ้าจะคิดว่า นานแสนนานมาแล้ว ทุกวันก็มีแต่กิเลส ถ้าได้ยินคำว่า “กิเลส” ก็รู้ว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นสภาพที่เศร้าหมอง แต่เมื่อไรก็ไม่รู้ ได้ยินแต่ชื่อทั้งนั้นเลย แต่เวลาที่ศึกษาธรรม เริ่มเข้าใจ ทุกขณะที่กำลังปรากฏเป็นธรรมทั้งนั้น ศึกษาเพื่อเข้าใจความจริง ไม่ใช่เพื่อเข้าใจเรื่อง กำลังสนุกเพลิดเพลินมาก ลืมโลภมูลจิต ๘ ดวงแล้วใช่ไหมคะ จะเป็นดวงไหนก็ไม่รู้ แต่เวลาที่ถาม ตอบได้หมด และไปใส่ชื่อด้วย เป็นดวงนั้น แต่ลักษณะของความติดข้อง ขณะนั้นเป็นโสมนัส หรือว่าเป็นอุเบกขา รู้สึกเฉยๆ หรือรู้สึกโสมนัสที่ได้สิ่งนั้นมา

    นี่คือการที่จะรู้ว่า ตัวจริงที่เราไปเรียกชื่อ โสมนัสสสหคตัง ทิฏฐิคตวิปยุตตัง อสังขาริกัง อยู่ที่ไหน แต่ว่าตามความเป็นจริง ไม่ใช่ให้เราไปเรียงลำดับ สภาพธรรมเกิดไม่ได้เรียงลำดับเลยว่า โลภะดวงที่ ๑ ต้องเกิดก่อน และดวงที่ ๒ และดวงที่ ๓ อย่างนั้นไม่ใช่ แต่ว่าไม่ว่าโลภะเกิดขึ้นเมื่อไร สภาพของโลภะที่จะปรากฏให้เข้าใจขึ้น เพื่อที่จะรู้ว่า ไม่ใช่เรา ก็คือรู้ว่า ขณะนั้นเป็นโลภะที่มีความรู้สึกเฉยๆ เกิดร่วมด้วย หรือว่าเป็นสุข เพลิดเพลิน กำลังสนุกมาก นั่นคือรู้จักตัวจริง แต่ก็ยังมีความละเอียดอีกว่า เกิดขึ้นโดยมีกำลังกล้า สะสมมาที่จะเกิด หรือว่ามีการชัดจูง หรือชักชวน จะโดยใคร หรือโดยสภาพของจิตที่เกิดก่อนก็ได้

    การศึกษาธรรม พระไตรปิฎกก็อยู่ที่ตัวทุกคน แล้วก็มีลักษณะจริงๆ ต้องไปพลิกหน้าไหมคะ อยู่ในสูตรนั้น หน้านั้น เล่มนั้น ไม่ต้องเลย มีพร้อมที่ว่าพระธรรมที่ทรงแสดง เมื่อไร เป็นความจริงเมื่อนั้น และ สิ่งที่ตลอดชีวิตในสังสารวัฏฏ์ ประเสริฐที่สุด คือ ความจริง ถ้าไม่รู้ความจริง ไม่มุ่งตรงต่อความจริง ไม่เคารพความจริง ไม่มีทางที่จะเข้าใจธรรม เพราะว่าเป็นเรา แต่ความจริงไม่ใช่เรา เห็นไหมคะ ก็ต้องมีการเข้าใจธรรมจริงๆ จนกระทั่งรู้ว่า หนทางเดียวที่จะทำให้ทุกคนซึ่งเห็นโทษของกิเลส สามารถจะหมดกิเลสได้เมื่อมีความรู้ตามความเป็นจริง และก็รู้จักตัวจริงของธรรม จนกระทั่งรู้ว่า ธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ให้เราไปทำอย่างอื่นเลย ไม่ใช่ไปนั่งขวนขวาย ไปไม่รู้ ในเมื่อมีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะเกิดแล้ว โดยที่ไม่สามารถมีใครบังคับบัญชาได้


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 329


    หมายเลข 12384
    26 ส.ค. 2567