การสะสมบารมีนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร


    คุณอุไรวรรณ การที่ตัวตนของเราไม่มืที่จะไปพยายามทำอ ะไรได้เลยนั้น ขอเรียนถามว่า การสะสมบารมีนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    สุ. ใครจำอะไรไม่ได้บ้างคะ ตั้งแต่เดินเข้ามาจนกระทั่งนั่งที่นี่ จำได้หรือเปล่า จิตเกิดขึ้นทีละ ๑ ขณะ สะสมสืบต่อ นามธรรมเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นเลย แต่เห็นความน่าอัศจรรย์ไหม จิตเห็น มีปัจจัยเกิดแล้วดับ ไม่ใช่ว่าใครอยากจะเห็นก็เห็นได้ เมื่อดับแล้วไม่กลับมาอีก การดับหมดสิ้นไปของจิตขณะก่อน จึงเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ตั้งแต่เช้ามาจนถึงขณะนี้ ใครจำอะไรไม่ได้บ้าง ก็มีสภาพธรรมที่จำ สะสมหรือเปล่า เห็นครั้งหนึ่งสะสมแล้ว สะสมการจำสิ่งที่ปรากฏ

    ด้วยเหตุนี้แม้แต่เสียง มีหลายๆ เสียง สูงๆ ต่ำๆ ภาษาต่างๆ สภาพจำมีจริง ไม่ใช่เรา และขณะนั้นก็คือการจำสะสม เด็กเกิดใหม่พูดได้หรือเปล่า มีภาษาหรือยัง แต่ได้ฟังบ่อยๆ ค่อยๆ จำ ค่อยๆ ชิน ค่อยๆ พูด ตามความจำ ไม่ใช่ไปพูดจากสิ่งที่ไม่ได้จำ

    เพราะฉะนั้นแต่ละชาติก็มีแต่ละภาษา ซึ่งเกิดจากการจำที่สะสมจาก ๑ ขณะไปอีก ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นไม่ได้มีใครไปสะสม แต่เป็นสภาพธรรมของธรรมซึ่งเป็นนามธาตุ ซึ่งเป็นจิต เจตสิก เกิดแล้วดับไป แต่การปราศไป หมดไปของขณะก่อน ก็เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไปเกิดสืบต่อ

    คำว่า “สืบต่อ” ก็หมายความว่า สิ่งที่ได้สะสมมาแล้วก็มีอยู่ในจิตขณะต่อไป มิฉะนั้นแล้วกำลังนอนหลับสนิท พอตื่นขึ้นมา โลภะมาจากไหน อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้นมา หรือว่ามีการสะสมที่จะติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ

    เพราะฉะนั้นอ่านคำถามทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง

    คุณอุไรวรรณ การที่ตัวตนของเราไม่มืที่จะไปพยายามทำอะไรได้เลยนั้น ขอเรียนถามว่า การสะสมบารมีนั้นจะเกิดขึ้นได้อย่างไร

    อันนี้เหมือนผู้ถามสนใจเรื่องบารมี อยากจะสะสมบารมี แต่ถ้าไม่มีตัวตนจะไปสะสมบารมีได้อย่างไร รู้สึกว่า ความหมายจะเป็นในลักษณะนั้น

    สุ. ค่ะ เพราะไม่รู้ว่า ไม่ใช่เราที่สะสม แต่เป็นสภาพธรรมที่เป็นจิตแต่ละขณะ ซึ่งเกิดดับสืบต่อ และข้อสำคัญ “บารมี” คืออะไร ก็ใช้คำ โดยที่ยังไม่ได้เข้าใจเลย และถ้าไม่เข้าใจแล้ว รู้หรือเปล่าว่า ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจเป็นบารมีหรือเปล่า ต้องไปทำบารมี ไปสะสมอย่างอื่นต่างหาก หรือแม้ขณะนี้มีปัญญาบารมีขณะที่เข้าใจถูก และก็มีวิริยบารมีด้วย มีสัจบารมีด้วย มีขันติบารมี ถ้าขณะใดที่มีเมตตา แม้จะได้ยินได้ฟังคำพูดที่ไม่น่าฟังสักเท่าไรก็ตาม ก็ยังมีความเป็นมิตร หวังดีต่อบุคคลที่ไม่รู้ความจริงของสภาพธรรม ขณะนั้นก็เป็นบารมีด้วย

    เพราะฉะนั้นที่กล่าวว่า “บารมี” คืออะไร ขอให้พูดถึงความหมายของบารมีด้วยนะคะ

    อ.วิชัย บารมี หมายถึงธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง คือ พระนิพพาน ตั้งแต่ทานบารมีจนถึงอุเบกขาบารมี สภาพธรรมไม่ใช่ตัวตน แม้จะเป็นสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมดมี จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ธรรมทั้งหมดไม่ใช่ตัวตน คือ ไม่ใช่ตัวตน เพราะฉะนั้นถ้าการสั่งสมอบรมอย่างที่ท่านอาจารย์ได้กล่าว ก็คือขณะที่จิตเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ขณะนั้นก็มีการสั่งสมสืบต่อ ไม่ว่าจะเป็นทางฝ่ายอกุศล จิตก็สั่งสมด้วย อย่างบางท่านก็คนมักโกรธก็มี หรือสั่งสมมาที่จะติดข้องพอใจ เมื่อมีการติดข้องพอใจ เมื่อมีปัจจัยที่ไปประสบอารมณ์ที่น่าปรารถนา ความติดข้องพอใจก็เกิดอีก ที่เกิดขึ้นเพราะมีการสั่งสมที่จะมีความยินดีพอใจแล้วในสิ่งนั้นๆ หรือถ้าประสบกับสิ่งที่ไม่น่าพอใจ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจก็เกิดขึ้น ก็น่าสงสัยว่า มาได้อย่างไร เกิดขึ้นได้อย่างไร แม้ได้ยินเสียงที่ดังขึ้นมา ความwไม่พอใจก็เกิดแล้ว โดยที่ไม่มีความพยายามจะให้โกรธเลย แต่ขณะนั้นความโกรธเกิดแล้ว แสดงว่าธรรมเกิดแล้ว มีแล้ว เพราะเหตุว่ามีปัจจัยที่จะให้ธรรมนั้นๆ เกิดขึ้น เพราะเหตุว่าบุคคลนั้นสะสมความโกรธมา บุคคลอื่นได้ยินเสียงเดียวกัน อาจจะไม่โกรธ อาจจะเฉยๆ แสดงว่าบุคคลนั้นสั่งสมมาที่จะไม่โกรธ

    เพราะฉะนั้นทางฝั่งที่มีการอบรมให้ถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม ก็เช่นเดียวกัน มีสั่งสมสภาพธรรมที่เป็นโสภณธรรมที่ค่อยๆ เจริญขึ้น ตั้งแต่ทานบารมีจนถึงอุเบกขาบารมี มีการอบรมเจริญขึ้นในแต่ละชาติ ก็คือมีการสั่งสมของจิต และเจตสิกที่เกิดขึ้นเป็นไปในบารมีต่างๆ มีการสั่งสมในแต่ละชาติ ค่อยๆ เจริญขึ้น จนถึงความถึงพร้อม ความเต็มเปี่ยมของบารมี ที่สามารถจะให้ปัญญาเกิดขึ้นรู้แจ้งอริยสัจธรรม บรรลุเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ ได้

    อันนี้ก็เป็นการสั่งสมของจิต และเจตสิก

    คุณอุไรวรรณ ท่านผู้ฟังถามว่า การทำทานต่างๆ เป็นบารมีเสมอไปหรือไม่

    อ.วิชัย ทาน หมายถึงกุศลจิตที่เกิดขึ้น ไม่ใช่หมายความว่าเป็นอกุศล และให้ ขณะนั้นจะเรียกว่าทาน แต่เป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้นที่เป็นไปในการให้วัตถุสิ่งของที่เป็นประโยชน์แก่ผู้รับ ดังนั้นจึงเป็นกุศลจิตที่เกิดขึ้น ถ้ากุศลเจตนานั้นเป็นไปเพื่อการละคลาย อบรมจนถึงสามารถดับอกุศลเป็นสมุจเฉทได้ ขณะนั้นก็เป็นบารมี แต่ถ้าเป็นการให้ทานโดยมุ่งหวังที่จะเป็นไปในวัฏฏะต่อไป คือ เวียนว่ายตายเกิด มีความปรารถนาที่จะได้สมบัติในภพภูมิต่อๆ ไป ขณะนั้นก็ไม่ใช่บารมี เพราะเหตุว่าไม่ใช่เป็นเหตุที่ทำให้ดับกิเลสเป็นสมุจเฉท

    คุณอุไรวรรณ ท่านอาจารย์จะกรุณาเพิ่มเติมหน่อยไหมคะ

    สุ. กุศลเจตนา เพราะฉะนั้นก็ต้องรู้ว่า ไม่ใช่เกี่ยวกับวัตถุ แต่เป็นเจตนาที่ต้องการสละสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น เพราะฉะนั้นก็เป็นเรื่องที่ละเอียด ที่จะต้องพิจารณาถึงสภาพของจิตในขณะที่ให้

    อ.ธีรพันธ์ บารมีก็เป็นเหตุให้ถึงฝั่ง คือ นิพพาน คือ ทานที่ให้แล้วเป็นไปเพื่อดับกิเลส โลภะ โทสะ โมหะ ไม่ได้เป็นไปเพื่อสังสารวัฏฏ์ การให้ก็มีหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นวัตถุสิ่งของ หรือแม้กระทั่งอวัยวะ ชีวิต เป็นไปเพื่อดับกิเลส เพื่อรู้แจ้งอริยสัจธรรม ดังนั้นบารมีจึงเป็นธรรมที่ทำให้ถึงฝั่ง การที่จะไปฝั่งโน้นได้ ก็ต้องอาศัยสัมภาระ อาศัยบารมีหลายประการ ทาน ศีล เนกขัมมะ ปัญญา วิริยะ ขันติ สัจจะ อธิษฐาน เมตตา อุเบกขา

    เพราะฉะนั้นธรรมที่ให้ถึงฝั่งจริงๆ คือ บารมี ๑๐ บารมีก็มีหลายขั้น อย่างบารมี อุปบารมี ปรมัตถบารมี เพราะฉะนั้นทานใดที่ให้แล้ว เจตนาที่ให้เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส ดับกิเลส จึงเป็นไปเพื่อให้ถึงฝั่ง คือ นิพพาน ไม่ใช่เป็นไปเพื่อไปเกิดในสุคติภูมิ และยังเวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เพราะว่าในสุคติภูมิก็ไม่เที่ยง สามารถไปเกิดในอบายได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นการให้จริงๆ เป็นการให้เพื่อดับกิเลส


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 331


    หมายเลข 12393
    26 ส.ค. 2567