หลงเข้าใจว่า เป็นเราเห็น คนแท้จริงคืออะไร


    ผู้ฟัง ยังไม่เข้าใจเรื่องจิต ในตัวอย่างที่ท่านอาจารย์เคยยกไว้ อยากจะให้อาจารย์อธิบายเพิ่มเติม ที่อาจารย์บอกว่า ในอากาศมีจิตได้ไหม ในน้ำมีจิตได้ไหม และอีกตัวอย่างหนึ่งที่อาจารย์บอกว่า เวลาที่เราเปิดเทปวิทยุให้มีเสียงออกจากวิทยุ พอเรากดปุ่ม stop ไป เสียงก็จะดับไปได้ อะไรอย่างนี้ แต่ถ้าเป็นจิตจะเป็นอย่างไร

    สุ. กำลังมีจิต ใช่ไหมคะ แต่ยังไม่รู้

    ผู้ฟัง ยังไม่ค่อยเข้าใจ

    สุ. มีจิตแน่นอน ขณะนี้จิตที่คุณแสงธรรมเข้าใจว่า เป็นคุณแสงธรรม อยู่ในอากาศหรืออยู่ที่ไหน หรืออยู่ในน้ำ

    ผู้ฟัง อยู่ที่ตัวเรา

    สุ. เกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ เมื่อไรก็ได้ เพราะเป็นธาตุรู้ ปลามีจิตไหมคะ

    ผู้ฟัง มีครับ

    สุ. จิตปลาอยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง จิตปลาอยู่ที่ตัวปลา อยู่ในน้ำ

    สุ. แล้วจิตของคุณแสงธรรมเวลานี้อยู่ที่ไหน

    ผู้ฟัง อยู่ที่นี่ครับ

    สุ. ในอากาศ หรือในน้ำ หรือที่ไหน

    ผู้ฟัง ถ้าในตอนนี้ก็ต้องอยู่ในอากาศ

    สุ. เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เราจะไปสงสัยเรื่องราว แต่เพื่อเข้าใจจิตค่ะ ฟังเพื่อเข้าใจจิต ไม่ใช่เพื่อสงสัยเรื่องราว เพราะฉะนั้นถ้าเข้าใจว่า จิตเป็นธาตุ ใครก็บังคับไม่ให้เกิดไม่ได้ แม้รูปธาตุก็ยังบังคับไม่ได้เลย แข็งนี่เกิดแล้วเป็นแข็ง ใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้ ร้อนก็เกิดขึ้นแล้วเป็นร้อน ขณะที่ร้อน เกิดแล้วเป็นร้อน เป็นอื่นไม่ได้ นี่คือเรื่องของรูปธาตุ ฉันใด และธาตุที่มีจริง ก็ไม่ได้มีแต่เฉพาะรูปธาตุเท่านั้น ยังมีนามธาตุด้วย เช่นเดียวกับรูป ใครจะไปบังคับ ไปเปลี่ยนแปลงไม่ให้เกิด ไม่ให้เป็นไปไม่ได้เลย

    เพราะฉะนั้นก็ให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีว่า สิ่งที่มีก็มีลักษณะต่างกันเป็น ๒ อย่าง คือ สภาพที่เกิดแล้วไม่สามารถจะรู้อะไรได้เลย เป็นธาตุ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา เคยไม่รู้ เคยยึดถือว่าเป็นเรา หรือของเรา ก็จะได้เข้าใจถูกต้องตามความเป็นจริงว่า สิ่งนั้นมีเกิดปรากฏตามเหตุตามปัจจัย จริงๆ แล้ว เกิดแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่เป็นของใครด้วย นั่นฝ่ายรูป

    สำหรับนามธาตุก็โดยนัยเดียวกัน เมื่อกล่าวถึงความเป็นธาตุ ก็เหมือนกัน คือ เป็นสิ่งที่เกิด จึงมี ตามเหตุตามปัจจัย เป็นสภาพธรรมที่ต่างกับรูปธรรม เพราะเหตุว่าธาตุนี้เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ต้องรู้ ตรงกันข้ามกับธาตุที่ไม่รู้ ก็เท่านั้นเอง ถ้ามีความเข้าใจถูกต้องว่า ทุกอย่างเป็นธาตุ จะไปสงสัยอะไรในน้ำ ใต้ดิน หรือบนดิน หรือในอากาศ ใช่ไหมคะ ก็มีความเข้าใจสภาพที่เป็นธาตุรู้ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเมื่อไร เกิดขึ้นรู้

    ผู้ฟัง ก็คงยังไม่เข้าใจคำว่า เป็นธาตุรู้ ถึงสงสัย

    สุ. สิ่งที่มี อย่างไฟ มีไหมคะ ร้อน มีไหม

    ผู้ฟัง ร้อนมีครับ

    สุ. เมื่อมี เป็นธรรมชนิดหนึ่ง เพราะมีจริงๆ มีลักษณะที่ต่างกับแข็ง แข็ง ก็มี ก็เป็นธรรมอีกชนิดหนึ่ง เพราะฉะนั้นธาตุที่เกิดขึ้นเห็น เช่นเดียวกับธาตุที่เกิดขึ้นร้อน เช่นเดียวกับธาตุที่เกิดขึ้นแข็ง แต่ธาตุชนิดนี้ ไม่ใช่แข็ง ไม่ใช่ร้อน แต่เห็น นี่คือธาตุชนิดหนึ่ง จะใช้คำว่า ธรรม ก็ได้ จะใช้คำว่า “ธาตุ” ก็ได้ เพราะเหตุว่าไม่มีใครเป็นเจ้าของ ไม่มีใครไปบันดาลให้เกิด ไม่มีใครทำให้ดับไป ในโลกนี้มีกี่ธาตุคะ

    ผู้ฟัง ถ้าใหญ่ๆ ก็ ๒ ธาตุ ตามที่เรียนมา

    สุ. อะไรคะ ๒ ธาตุ

    ผู้ฟัง นามธรรมกับรูปธรรม

    สุ. ค่ะ นามธรรมกับรูปธรรม หรือนามธาตุกับรูปธาตุ เป็นคุณแสงธรรมหรือเปล่า

    ผู้ฟัง ตามการศึกษา ก็ไม่เป็น

    สุ. ตามการศึกษา หรือตามความเป็นจริง

    ผู้ฟัง ตามความเป็นจริงครับ

    สุ. เพราะฉะนั้นฟังให้เข้าใจความจริง จนกว่าจะมั่นคง

    ผู้ฟัง ที่ท่านอาจารย์บอกว่า ให้ลองหลับตา นึกถึงภูเขาทอง พอผมหลับตาแล้ว ก็จะนึกถึงสิ่งแรกคือ รูปร่างของภูเขาทอง ส่วนเรื่องของสีของภูเขาทอง จะนึกถึงทีหลัง อย่างนี้เป็นลักษณะที่รู้อารมณ์ทางมโนทวาร ใช่หรือเปล่าคะ ที่จะนึกถึงรูปร่างขึ้นมาก่อน ที่จะนึกถึงสีสัน

    สุ. ขณะใดที่ไม่ได้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาให้เห็น ขณะนั้นเป็นจิตที่คิดนึกจากความจำในสิ่งที่เคยเห็น เคยเห็นแล้ว แต่ไม่เคยเห็นขณะนั้น นึกได้ไหม

    ผู้ฟัง นึกได้ครับ

    สุ. เพราะฉะนั้นนี่เป็นหนทางที่จะเข้าใจความต่างกันของธาตุที่ปรากฏทางตา กับความคิดนึก ถ้ายังไม่สามารถเข้าใจอย่างนี้ได้ ก็เป็นเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตลอดเวลา

    เพราะฉะนั้นการฟัง จึงฟังพร้อมกับการพิจารณา ในเมื่อขณะนี้มีสิ่งที่กำลังปรากฏทางตาด้วย ไม่ใช่เพียงแต่ความจำในรูปร่างสัณฐานที่เกิดจากคิด แต่ถ้าไม่คิด ก็ไม่เห็นเป็นคนหนึ่งคนใด ก็มีแต่เพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา

    เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะเข้าใจพยัญชนะ และอรรถที่ทรงแสดงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริง คือ ไม่ข้าม และไม่ผิวเผินที่จะรู้ว่า ขณะนี้แม้มีสิ่งที่กำลังปรากฏจริงๆ ทางตา เคยเข้าใจบ้างไหมว่า ขณะนี้เป็นสภาพธรรมอย่างหนึ่ง ที่เพียงปรากฏ ส่วนการคิดนึกเรื่องราวต่างๆ ที่จำมาตั้งแต่เกิด มีเพื่อนคนนั้นคนนี้ ตั้งแต่เด็กจนโต ก็เป็นเรื่องความคิดนึกทั้งหมด

    เพราะฉะนั้นก็จะแยกโลกสิ่งที่ปรากฏทางตาอย่างหนึ่ง แล้วก็ความคิดนึกซึ่งเกิดสืบต่อจากสิ่งที่ปรากฏทางตา อย่างรวดเร็ว ทำให้หลงเข้าใจว่า เป็นเราเห็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด หรือว่าเป็นคน เป็นวัตถุสิ่งต่างๆ กว่าจะรู้ความจริง กว่าจะค่อยๆ เข้าใจความจริง กว่าจะประจักษ์แจ้งว่า ความจริงคืออย่างนี้เอง ไม่มีอะไรเหลือด้วย ทุกขณะปราศไปหมด


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 331


    หมายเลข 12397
    26 ส.ค. 2567