กิเลสและอวิชชามีมาก ปัญญาเกิดน้อยแล้วจะดับกิเลสได้หรือ
ผู้ฟัง กิเลส ความไม่รู้ อวิชชาก็สะสมมานานมากในแสนโกฏิกัป
สุ. เคยรู้มาก่อนไหมคะ
ผู้ฟัง ถ้าไม่ศึกษาธรรม ก็ไม่ทราบ
สุ. รู้แล้ว ถูกไหมคะ
ผู้ฟัง ถูกค่ะ
สุ. ดีไหมที่เข้าใจถูก
ผู้ฟัง ดีค่ะ ทีนี้คำถาม คือ สะสมอวิชชามาแล้วในแสนโกฏิกัป และปัจจุบันอกุศลก็ยังมากกว่ากุศลมาก
สุ. เพราะอะไรคะ
ผู้ฟัง ก็เพราะอวิชชา มีเหตุปัจจัยให้อกุศลเกิดมาก
สุ. สิ่งที่สะสมมามากๆ ๆ ๆ แสนมาก นานแสนนาน และจะไม่เป็นปัจจัยให้อกุศลจิตเกิดได้ไหม เพราะฉะนั้นก็เป็นธรรมดา ให้เข้าใจความเป็นธรรมดา ธรรมเป็นธรรมดา ใครจะไปบังคับ ใครจะไปเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย
ผู้ฟัง ทีนี้คำถาม คือ เราต้องอบรมเจริญปัญญา ปัญญาที่ละกิเลส และดับกิเลสได้
สุ. ถูกต้องค่ะ
ผู้ฟัง ทีนี้เหมือนกับว่า กิเลสเก่า อวิชชาเก่าก็เยอะ และสะสมใหม่ก็เยอะ ปัญญาก็เกิดน้อย และยากมาก
สุ. จริงหรือเปล่าคะ
ผู้ฟัง จริงค่ะ
สุ. จริงก็ต้องจริง
ผู้ฟัง แล้วจะดับกิเลสได้หรือ
สุ. เราจะดับ หรือปัญญาจะดับ
ผู้ฟัง ปัญญาจะทันกิเลสหรือคะ
สุ. ปัญญาทันอะไร หรือปัญญารู้อะไร
ผู้ฟัง ปัญญาจะรู้กิเลส แล้วดับได้ทันหรือ ในเมื่อ ...
สุ. ก็แต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้ว่ามีกิเลส เดี๋ยวนี้ก็ยังรู้ได้ว่ามี เยอะด้วย
ผู้ฟัง คือถ้าเชิงปริมาณ มันไม่ทันกัน แต่ถ้าปัญญาเขาคมพอที่จะดับได้มากๆ
สุ. เพราะฉะนั้นใครอย่ามาถาม ๑๐ ปี ฟังมาแล้ว ๒๐ ปี ฟังมาแล้ว กี่ชาติฟังมาแล้ว ให้เข้าใจความหมายของกัป และการรู้จริง ที่ถามไงคะ อีกกัปหนึ่งแล้วจะรู้ ปัญญาจะสามารถแทงตลอดลักษณะของสภาพธรรม ดีใจหรือพอใจหรือยัง รอได้ไหม
ผู้ฟัง จริงๆ ถ้าอีกแสนกัปก็ต้องรอ เพราะว่าเลือกไม่ได้
สุ. ถูกต้องค่ะ หรืออาจจะยิ่งกว่าแสนกัปก็ได้ ไม่ขึ้นอยู่กับเวลา ข้อสำคัญ คือ ไม่ใช่ขึ้นอยู่กับเวลา ขึ้นอยู่กับความเห็นถูกต้องตามความเป็นจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ บางคนก็เสียดายชีวิตพอรู้ว่า เมื่อเป็นพระอริยบุคคล เป็นพระโสดาบันจะเกิดอีกเพียง ๗ ชาติ เขาบอกว่า ทำไมน้อย อยากเกิดอีกนานๆ ยังอยากสนุก ยังอยากจะมีชีวิตต่อไปอีก ขณะนั้นเพราะว่ามีความติดข้อง ยังไม่รู้ความจริง ก็พูดอย่างนี้
เพราะฉะนั้นปุถุชนพูดอย่างหนึ่ง พระอริยบุคคลก็มีความเห็นถูก ความเข้าใจถูกอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งต่างกับปุถุชน เพราะฉะนั้นจากความเป็นปุถุชน ผู้ไม่รู้ พอได้ยินธรรม อยากรู้ธรรม อยากประจักษ์นิพพาน อยากหมดกิเลส แต่จริงๆ แล้วเปล่า จะต้องค่อยๆ เข้าใจธรรม จะต้องรู้ความต่างกันของขณะที่สติสัมปชัญญะเกิด กับขณะที่เพียงเข้าใจขั้นฟัง และแม้สติสัมปชัญญะเกิดแล้ว การศึกษาจริงๆ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา ไม่ใช่ขณะอื่น แต่ขณะที่เริ่มรู้จักลักษณะของสภาพธรรม แม้เพียงเล็กน้อย แต่ก็จะสมบูรณ์ถึงกาลที่รู้แจ้งอริยสัจธรรม ดับกิเลสหมดเมื่อไร นั่นคือความสมบูรณ์ของอธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
เพราะฉะนั้นการฟัง ฟังเพื่อเข้าใจ ให้รู้จริงๆ ว่า ไม่มีเรา และถ้าขณะนั้นมีความต้องการเกิดขึ้น ก็เป็นธรรม และก็หมดแล้วด้วย แต่ความเป็นตัวตนก็เดือดร้อน และหาวิธีต่างๆ ยากจะละการติดข้องมากขึ้นอีก
ผู้ฟัง ฟังมาถึงตอนนี้ ก็รู้ว่า ต้องฟังธรรมให้เข้าใจ แล้วพิจารณาไตร่ตรอง
สุ. เพราะฉะนั้นเป็นคนเก่าเหมือนเดิม ไม่ต้องเปลี่ยนแปลงทำอย่างอื่นเลย เพราะอะไรคะ เพราะนั่นคือตัวจริง สะสมมาอย่างไร จะคิดอย่างไร จะเห็นอะไร แต่ละภพแต่ละชาติ ใครเปลี่ยนแปลงไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นขณะใดก็ตามที่ธรรมเกิดแล้วปรากฏ นั่นคือชีวิตจริง เพราะอะไรคะ เกิดแล้ว เกิดแล้วเมื่อไร เพราะอะไร ตามการสะสมมานานแสนนาน ซึ่งปรุงแต่งจนกระทั่งเราไม่สามารถรู้ถึงการปรุงแต่งได้เลย ความฝันแต่ละคืนเป็นเครื่องบ่งชัด เราสะสมอะไรมามากน้อยแค่ไหน คืนนี้จะฝันอะไรดีคะ ฝันเรื่องสนุกๆ ดีไหมคะคืนนี้
ผู้ฟัง ไม่ได้ค่ะ บังคับบัญชาไม่ได้
สุ. แล้วเวลาฝันเกิดขึ้น รู้ไหมว่ามาจากไหน แม้เพียงแค่ฝัน ยังไม่เหมือนจริงๆ ขณะนี้เลย เพราะฉะนั้นเพียงขณะฝัน ก็เห็นความวิจิตรของการปรุงแต่งของสังขารขันธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องนั้นเรื่องนี้ในชาติไหน ความสุขความทุกข์ใดๆ ต่างๆ ความคุ้นเคยในชาติก่อนๆ ทั้งหมด ก็เกิดขึ้นเพราะความทรงจำ ที่ทำให้รู้ว่า ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้ ยับยั้งได้ นี่คือฝัน และตื่นก็เหมือนกัน ใครก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะความจริงฝันก็คือคิด เพราะจำ สิ่งที่ได้เห็นแม่นยำเหมือนเห็นกับตาเลย ใช่ไหมคะ เวลาที่เราจำอะไรในขณะนี้ จะแม่นยำเหมือนกับในฝันไหมคะ บังคับบัญชาไม่ได้ว่า จะให้เป็นอย่างนั้น แต่ทำไมถึงฝันเหมือนเห็น เหมือนจริง เพราะสัญญา ความจำขณะนั้นทำให้เห็นว่า สามารถปรุงแต่งในสิ่งที่ไม่คาดฝันเลย ในฝัน ก็เป็นไปได้
เพราะฉะนั้นขณะนี้ก็เช่นเดียวกัน กำลังมีสัญญา ความจำ แล้วแต่ว่าความจำหลากหลาย จำสิ่งที่กำลังฟังด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ก็จะทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มั่นคงขึ้น
ผู้ฟัง การที่จะมีตัวตน ใครที่สอนให้มีตัวตน ให้ไปทำอะไร ก็ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า นี่ตามความเข้าใจของหนู
สุ. ค่ะ พุทธะ คือ ปัญญา รู้ความจริง เพราะฉะนั้นคำสอนก็เพื่อจะให้ผู้ฟังเกิดปัญญา เข้าใจความจริง
ผู้ฟัง เมื่อเราเข้าใจอย่างนี้แล้ว เราก็จะฟังให้เข้าใจอย่างสบายๆ แล้วก็ไม่ต้องไปคิดว่าเมื่อไร คือ นานแค่ไหน ก็จะรอ เพราะว่าเป็นอนัตตาอยู่แล้ว
สุ. คิดก็ไม่สำเร็จค่ะ คิดไปเถอะ
ผู้ฟัง เมื่อเหตุปัจจัยถึงพร้อม ปัญญาก็จะเกิด รู้กิเลสแล้วละกิเลสได้โดยสะสมไป
สุ. เราจะรู้ไหม เหมือนอย่างท่านพระสารีบุตร ท่านจะรู้ไหมคะว่า ท่านจะเป็นพระโสดาบันในชาติที่ท่านได้พบท่านพระอัสสชิ ก่อนนั้นท่านก็ไม่ได้เป็นลูกของนางสารี ท่านก็เป็นใคร ที่ไหน อย่างไร แล้วท่านก็ไม่รู้ด้วยว่า ถึงกาลที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรม จะเป็นใคร ณ สถานที่ใด
ผู้ฟัง เพราะฉะนั้นในขั้นปริยัติขณะนี้ เราฟังเพื่อให้เข้าใจว่า พระพุทธเจ้าตรัสรู้อะไร แล้วเราก็พิจารณาตามว่า เป็นจริงตามนั้น แล้วเราก็เชื่อว่า คนในโลกนี้สามารถอบรมปัญญาให้รู้ความจริงตามนั้นได้
สุ. ขณะนั้นก็เป็นความเข้าใจถูกต้องค่ะ สะสมความเข้าใจถูกว่า เป็นเรื่องของปัญญา ไม่ใช่เรา ปัญญาก็เป็นสภาพธรรมที่เห็นถูก เข้าใจถูก เกิดดับด้วย แต่สะสมต่อไปได้
ที่มา ...