ความเป็นไปของจริยาทั้ง ๓
ผู้ฟัง ผมมีความรู้สึกว่า ชีวิตของเรา ก็คือความเป็นไปของวิญญาณจริยา ญาณจริยา อัญญาณจริยา แต่ผมก็ยังไม่เข้าใจถึงความละเอียดจริงๆ ของจริยาทั้ง ๓ นี้ ขอให้ท่านอาจารย์ช่วยอธิบายให้เข้าใจมากกว่านี้ครับ
สุ. วิญญาณ ก็คือจิต เป็นธาตุรู้ เป็นสภาพรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีเหตุปัจจัย ทุกขณะที่จิตเกิด เพราะฉะนั้นเมื่อจิตขณะแรก คือ ปฏิสนธิจิตเกิดแล้ว ไม่เพียงแต่เกิดแล้วก็ดับ ทำกิจสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน แต่การดับไปของจิตแต่ละขณะ ทุกขณะ จะเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ถ้าจิตขณะก่อนยังไม่ดับ ยังไม่หมดสิ้น ยังไม่ปราศไป โดยสิ้นเชิง จิตขณะต่อไปเกิดไม่ได้เลย
ด้วยเหตุนี้ปฏิสนธิจิตขณะแรกที่เกิดในชาตินี้ก็ต้องดับ และความเป็นจริงก็คือว่า ต้องมีจิตอื่นเกิดสืบต่อ แต่ว่าขณะที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิ จะเห็นทันทีไม่ได้ ได้ยินทันทีไม่ได้ คิดนึกทันทีไม่ได้
เพราะฉะนั้นจิตแต่ละขณะก็ทำกิจของตนๆ เป็นธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และทำหน้าที่ตามปัจจัยนั้นด้วย เช่น จิตที่ทำปฏิสนธิ ทำกิจตามปัจจัยที่เกิดสืบต่อจากจุติ เพราะฉะนั้นทำกิจอื่นไม่ได้ นอกจากเกิดขึ้นสืบต่อจากจุติจิต โดยปฏิสนธิในภูมิหนึ่งภูมิใด เป็นจิตประเภทหนึ่งประเภทใด ซึ่งเป็นผลของกรรมที่ได้ประมวลมา ที่จะทำให้เกิดในขณะนั้น ดับไป กรรมนั้นก็เป็นปัจจัยหนึ่ง และการปราศไปของจิตขณะก่อนก็เป็นปัจจัยด้วยที่ทำให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้น ทำกิจดำรงภพชาติ ที่ใช้คำว่า “ภวังค์” มาจากคำว่า ภว กับ อังค ยังไม่สิ้นสุดความเป็นบุคคลนี้ เพราะว่ากรรมหนึ่งที่ทำแล้ว ก็จะให้ผล นอกจากทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด ก็ต้องมีการดำรงอยู่ตราบเท่าที่กรรมนั้นยังให้ผล จนกว่าจะถึงขณะจิตสุดท้าย
เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตดับ จิตขณะต่อไปก็เกิดดับทำภวังคกิจ จนกว่าวิถีจิตที่มีอารมณ์ต่างกับอารมณ์ของภวังค์ เริ่มมีการรู้สึกตัว แต่วาระแรกก็คือ ทันทีที่รู้สึกตัว เป็นความติดข้องในภพ ในความเป็นขณะนั้น ชั่วระยะเวลาที่สั้นมาก แล้วก็ดับไป แล้วก็เป็นภวังค์ทุกครั้งที่จิตรู้อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใด ทางทวารหนึ่งทวารใด คือ เกิดสืบต่อโดยรู้อารมณ์เพราะอาศัยทวารนั้นดับแล้ว ภวังคจิตจะเกิดสืบต่อดำรงภพชาติ มิฉะนั้นแล้วก็จะเป็นจุติ คือ สิ้นชีวิตไป แต่เมื่อยังไม่สิ้นสุดกรรม ก็ทำให้ภวังค์ดำรงภพชาติต่อไป จนถึงกาลที่กรรมใดจะให้ผล ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางหนึ่งทางใดแต่ละวาระ เลือกไม่ได้เลย นี่คือ วิญญาณจริยา เกิดแล้วต้องเป็นอย่างนี้ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย มีใครบ้างคะ เกิดมาแล้วไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ไม่คิดนึก ต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย
ด้วยเหตุนี้ ขณะนี้เห็น วิญญาณจริยา จิตเกิดขึ้นแล้วต้องเห็น เมื่อไรก็แล้วแต่ วันไหนก็แล้วแต่ จะเช้า สาย บ่าย เย็น จะเห็นอะไร ก็แล้วแต่ว่ากรรมเป็นปัจจัยที่จะทำให้จิตเห็นเกิดขึ้น แล้วจิตเห็นก็เกิดแล้วก็ดับไป ทั้งหมดนี้เป็นวิญญาณจริยา คือ ความเป็นไปในภพหนึ่งชาติหนึ่งต้องมี
สำหรับอัญญาณจริยา หมายความถึงประเภทของจิตที่เป็นอกุศล ไม่มีปัญญา
ตอนนี้ก็เข้าใจได้แล้วใช่ไหมคะว่า เวลาที่อกุศลจิตเกิดหลังเห็น ก็ติดข้อง พอใจในสิ่งที่เห็น หรือมิฉะนั้นก็ไม่พอใจในสิ่งที่ปรากฏ ยับยั้งไม่ได้ และรวดเร็วจนกระทั่งเกือบจะกล่าวได้ว่า ไม่มีใครรู้ ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ความรวดเร็วของอกุศลที่เกิดต่อแต่ละวาระที่เห็น พอใจ ไม่พอใจในสิ่งที่เห็น แต่ละวาระที่ได้ยิน ก็มีความไม่รู้ และก็มีโลภะบ้าง โทสะบ้าง เป็นปกติในสิ่งที่ปรากฏ
ทั้งหมดนี้ที่เป็นอกุศล ก็เป็นอัญญาณจริยา ความประพฤติเป็นไปของอกุศล ซึ่งมีปัจจัยที่จะต้องเกิด ยับยั้งไม่ได้ ทุกคนที่เกิดมาแล้วที่ไม่มีอกุศล มีไหม เจ้าชายสิทธัตถะประสูติแล้ว
ยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนนั้นมีอกุศลไหม ก็ต้องมี ขณะนั้นเป็นอัญญาณจริยา หลังจากที่วิญญาณจริยา คือ การเห็น การได้ยิน เหล่านี้ซึ่งเป็นความประพฤติเป็นไปตามปกติของแต่ละภพแต่ละชาติ ก็จะมีอกุศลติดตามมาอย่างรวดเร็ว จนกว่า ญาณจริยา ความประพฤติเป็นไปของปัญญา ซึ่งเกิด มีสังขารขันธ์ปรุงแต่ง จากการฟัง การไตร่ตรอง ความเห็นถูก จนกระทั่งถึงวิปัสสนาญาณ นั่นก็เป็นความต่างกันมากระหว่างที่เห็นแล้วไม่รู้ กับการที่เห็นแล้วรู้ จนกระทั่งสามารถที่จะแทงตลอดความจริงของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้นแต่ละคนก็รู้ตามความเป็นจริงว่า ขณะนี้เป็นอะไร วิญญาณจริยานี้มีแน่ อัญญาณจริยาก็มี และก็สะสมญาณจริยา จนกว่าจะถึงการรู้แจ้งอริยสัจธรรม
ไม่ใช่เราเลย เห็นไหมคะ เป็นความเป็นไป ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ ก็เป็นอย่างนี้แหละ
ที่มา ...