เมตตา-ปฏิสนธิจิตที่ประกอบด้วยปัญญา
ผู้ฟัง เมื่อเช้าฟังเรื่องสมถภาวนา ก็สนใจขึ้นมา ทั้งๆ ที่ลืมไปตั้งนานแล้วว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ก็เป็นสมถภาวนาที่สามารถเจริญได้ในชีวิตประจำวัน
สุ. ต้องเป็นผู้ที่ละเอียด อย่าข้ามแต่ละคำค่ะ สมถะ คืออะไร
ผู้ฟัง สมถะ สงบ ระงับจากอกุศล
สุ. ค่ะ เกิดเมื่อไร ขณะไหนเป็นสมถะ ถ้าจะพูดภาษาไทย ขณะไหนสงบจากอกุศล เพราะสมถะต้องหมายความว่า สงบจากอกุศล
ผู้ฟัง ขณะที่เป็นกุศลใช่ไหมครับ แต่ต้องนานด้วยหรือเปล่าครับ
สุ. ถ้าไม่มีแต่ละขณะ แล้วจะมากขึ้นได้ไหม
ผู้ฟัง ขณะเมตตาเกิดนิดเดียว ขณะนั้นเป็นสมถะไหมครับ
สุ. สงบหรือเปล่า
ผู้ฟัง สงบครับ
สุ. สงบจากอกุศลหรือเปล่า
ผู้ฟัง สงบครับ
สุ. ถ้ามีมากขึ้นๆ แล้วลักษณะของความสงบจะเพิ่มขึ้นปรากฏให้เห็นความมั่นคงขึ้นหรือเปล่า
ผู้ฟัง ก็ปรากฏให้เห็นความมั่นคงได้ นั่นก็แสดงว่า กุศลทุกชนิดเป็นสมถภาวนา เพราะสงบจากอกุศล
สุ. แน่นอนค่ะ ใช้คำว่า “สงบ” ก็คือสงบจากอกุศล มิฉะนั้นแล้วจะเอาขณะไหนสงบ
ผู้ฟัง อย่างนั้นเจริญกุศลทุกชนิด ก็คือเจริญสมถภาวนาด้วย
สุ. ภาวนา หมายถึงให้มากขึ้น ให้มั่นคงขึ้น เพราะฉะนั้นชั่วขณะที่กำลังเป็นกุศลนี่สั้นมาก แค่ ๗ ขณะจิตที่เป็นกุศล เกิดสืบดับสืบต่อกัน ๗ ขณะ สั้นแสนสั้น ลองคิดดูซิคะ ขณะนี้เหมือนเห็นได้ยินพร้อมกัน แต่ไม่พร้อมกันเลยค่ะ มีจิตเกิดดับคั่นระหว่างจิตเห็นกับจิตได้ยิน และสภาพธรรมที่เป็นจิตที่เกิดคั่นก็คือ ๗ ขณะของกุศลกับอกุศลด้วย เพราะฉะนั้นจะเร็วสักแค่ไหน
ด้วยเหตุนี้ไม่เพียงพอที่จะให้มีความสงบที่มั่นคงเพียงแค่ ๗ ขณะจิต แล้วก็คั่นด้วยสภาพธรรมอื่น ผู้ที่เห็นโทษ รู้ว่าเป็นการสะสมจิตที่ไม่สงบ เห็นโทษของการยึด ติดข้องในรูปทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และรู้หนทางว่า จิตจะมั่นคงด้วยกุศลที่สงบได้อย่างไร จึงสามารถที่จะอบรมเจริญสมถภาวนาได้ มิฉะนั้นไม่มีทางที่จะเป็นสมถภาวนา ก็เป็นกุศลในชีวิตประจำวันที่สงบจากอกุศลชั่วครั้งชั่วคราว เล็กๆ น้อยๆ
ผู้ฟัง สงบ แต่ว่าไม่ได้กำจัด เพียงแค่สงบเป็นครั้งเป็นคราว
สุ. ไม่สามารถระงับอกุศลซึ่งสะสมมาที่จะไม่ให้เกิดขึ้นบ่อยๆ
ผู้ฟัง ครับ คือ เมื่อมีเหตุปัจจัยก็ต้องเกิดอยู่ แต่สมถะจะต่างจากวิปัสสนาตรงที่ สมถะมีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้
สุ. มีปัญญาที่เห็นโทษของความไม่สงบของจิต และมีปัญญาที่จะรู้ว่า กุศลจิตต่างกับอกุศลจิต และจะอบรมให้มีกุศลที่มั่นคงขึ้นได้อย่างไร
ผู้ฟัง ในเมื่อชีวิตประจำวันส่วนใหญ่ เราก็มีบัญญัติเป็นอารมณ์อยู่แล้วใช่ไหมครับ ก็เจริญเมตตาไปเลย
สุ. ได้ไหมคะ
ผู้ฟัง ที่จริงบังคับไม่ได้ แต่ว่า
สุ. ปัญญาทำหน้าที่ของปัญญา ไม่ใช่เราไปพยายามทำหน้าที่ของปัญญา ไม่รู้อะไรก็อยากสงบ ไม่รู้อะไรก็อยากหมดกิเลส
ผู้ฟัง แต่ถ้าวิปัสสนาไม่เกิด สมถภาวนาก็ย่อมมีประโยชน์อยู่ ใช่ไหมครับ
สุ. ทานมีประโยชน์ไหมคะ
ผู้ฟัง มีครับ
สุ. เพราะอะไร
ผู้ฟัง อย่างน้อยก็ทำให้สงบจากอกุศลได้
สุ. ก็เป็นเรื่องหวัง แต่ตามความเป็นจริงก็คือ กุศลไม่ใช่อกุศล ก็เห็นโทษของอกุศล และเห็นประโยชน์ของกุศล แต่ไม่ใช่มีตัวเราที่ต้องการ แต่เป็นเพราะผู้ที่รู้ตามความเป็นจริงถึงความต่างของสภาพธรรมที่เป็นกุศล และอกุศล
ผู้ฟัง การเจริญสมถภาวนาอย่างการเจริญเมตตา เคยได้ยินมาว่า อย่างแรกต้องเจริญจากคนที่มีพระคุณก่อน
สุ. เดี๋ยวก่อนนะคะ เมตตาคืออะไร ถ้ายังไม่รู้ก็เจริญไม่ได้
ผู้ฟัง ความเป็นมิตร เป็นเพื่อน
สุ. ค่ะ เดี๋ยวนี้เป็นหรือเปล่า ไม่ต้องไปนึกถึงอะไรมากมาย สิ่งที่ยังไม่เกิดไม่ปรากฏ สิ่งที่หมดไปแล้วก็ไม่มี แต่ขณะนี้เมตตาเกิดหรือเปล่า
ผู้ฟัง ไม่เกิด
สุ. แปลว่าไม่เป็นเพื่อนกับใครสักคน
ผู้ฟัง คือมันเกิดบางขณะใช่ไหมครับ แต่ไม่ได้เกิดตลอด
สุ. แต่ว่ามีเป็นประจำได้ไหมคะ คือ ไม่เป็นศัตรูกับใครเลย
ผู้ฟัง ถ้าจะพูดอย่างนั้นก็เกิดได้
สุ. จิตจะอ่อนโยน และมีความเป็นมิตรพร้อมที่จะเกื้อกูล นี่คือลักษณะของเมตตา แต่ไม่ได้หมายความว่า เมื่อเข้าใจอย่างนี้เมตตาจะเกิดตลอด เพราะมีจิตเห็นซึ่งไม่ใช่เมตตา มีจิตได้ยิน ซึ่งไม่ใช่เมตตา เพราะฉะนั้นการเข้าใจธรรมโดยละเอียด ก็จะเข้าใจสภาพที่ไม่ใช่ตัวตน และมีความเห็นถูกตามความเป็นจริงของสภาพธรรมนั้น ตั้งแต่ในขั้นฟัง และขั้นพิจารณาไตร่ตรอง จนกระทั่งสามารถที่จะเป็นปัจจัยให้สติสัมปชัญญะเกิดระลึก คือ เกิดรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏเมื่อไรก็ได้ เพราะว่ามีปัจจัยคือความเข้าใจที่ถูกต้อง
ผู้ฟัง คำถาม คือ เนื่องจากสมถภาวนามีบัญญัติเป็นอารมณ์ได้
สุ. อย่าลืมนะคะ “สมถภาวนา” ไม่ใช่สมถะในขณะเล็กๆ น้อยๆ ๗ ขณะในชีวิตประจำวัน แต่เป็นการอบรมเจริญให้มากขึ้นให้มั่นคงขึ้น จนกระทั่งถึงระดับของความมั่นคงที่เป็นสมาธิที่สงบขั้นต่างๆ เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจให้ถูกต้องว่า กำลังพูดถึงอะไร
ผู้ฟัง ตรงบัญญัติ ตัวเราเป็นอารมณ์ของสมถภาวนาได้ไหมครับ อย่างเมตตา
สุ. ไม่ใช่ชื่อนะคะ ไม่ใช่มาถามว่า เป็นบัญญัติได้ไหม คุณวรศักดิ์เมตตาอะไร
ผู้ฟัง เป็นเพื่อน เป็นมิตรครับ
สุ. เป็นเพื่อน เป็นมิตรกับอะไร
ผู้ฟัง กับสัตว์ บุคคล ตัวตน
สุ. จะต้องบอกว่า บัญญัติ จะต้องบอกว่าอะไรไหม จะต้องเอาชื่อมาปิดกั้นไหม แต่ตามความเป็นจริงก็คือ ขณะนี้มีสัตว์ มีบุคคล เพราะมีการเกิดดับสืบต่อ ถ้าไม่มีสภาพปรมัตถธรรม สัตว์ บุคคล ไม่มี แต่เมื่อสภาพธรรมเกิดดับสืบต่อปรากฏเป็นนิมิตให้เข้าใจว่า สิ่งนั้นเป็นอะไร เป็นคน หรือเป็นดอกไม้ หรือเป็นโต๊ะ หรือเป็นเก้าอี้ ก็มาจากการเกิดดับของสภาพธรรม
เพราะฉะนั้นเมื่อสิ่งนั้นเกิด แล้วก็เป็นธาตุรู้ สภาพรู้ จึงเป็นสัตว์บุคคลได้ ถ้าไม่มีธาตุรู้ สภาพรู้ ก็เป็นสัตว์บุคคลไม่ได้ เพราะฉะนั้นเวลาที่เมตตา ไม่ใช่เมตตาสิ่งที่ไม่มีจิตใจ
ผู้ฟัง ครับ แล้วเมตตาตนเองละครับ
สุ. เมตตาตัวเองแค่ไหน
ผู้ฟัง ก็คือไม่ออกไปตากแดด อยู่ที่ร่มๆ
สุ. นั่นรักตัวเองหรือเปล่า ต้องเข้าใจอรรถด้วย เมตตาใคร เป็นเพื่อนกับใคร
ผู้ฟัง กับบุคคลรอบข้างหรือครับ
สุ. ก็แล้วแต่สัตว์บุคคล เมตตา คือ ความเป็นเพื่อน พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่มีความเป็นศัตรู ไม่คิดร้าย ไม่แข่งดี
ผู้ฟัง เมตตาตัวเองนี่เป็นโลภะ ใช่ไหมครับ
สุ. ก็ลองคิดดู ไม่ใช่มีคนมาบอกเรา แล้วให้เขาเป็นคนตัดสินว่า เป็นโลภะ หรือไม่ใช่โลภะ แต่ตามความเป็นจริงมีความติดข้องในความเป็นเราหรือเปล่า
ผู้ฟัง มีครับ มีมาก
สุ. รักตัวเองแค่ไหน
ผู้ฟัง มากที่สุดในโลกเลยครับ
สุ. เพราะฉะนั้นเต็มไปด้วยความรักตัวเองค่ะ คุณวรศักดิ์มีเมตตาไหมคะ ฟังเรื่องเมตตา เข้าใจแล้ว แล้วมีเมตตาไห
สุ. บางครั้งก็มี
รู้ใช่ไหมคะว่า เมตตาหรือไม่เมตตา เมตตาตรงกันข้ามกับโทสะ
ผู้ฟัง รู้สึกว่าจิตใจจะอ่อนโยนกว่า
สุ. เมื่อกี้นี้บอกว่า ไม่เมตตา ตอนแรกที่สุด ตอนนี้เป็นเพื่อนหรือยัง คนตั้งเยอะแยะ เริ่มเป็นเพื่อนหรือยังคะ
ผู้ฟัง ครับ
สุ. ไม่ใช่ถามให้ตอบ ความรู้สึก ความจริงใจ มีความเป็นเพื่อน เพราะว่าไม่ใช่เรื่องคำพูดที่จะเอาคำพูดมาตัดสิน แต่ใจจริงๆ วันหนึ่งๆ เป็นเพื่อนกับใครบ้างหรือเปล่า พร้อมที่จะช่วยเหลือเกื้อกูล ไม่เห็นแก่ตัว ไม่คิดถึงประโยชน์ของตน กายก็สงเคราะห์ช่วยเหลือ วาจาก็เป็นเรื่องที่จะทำให้คนอื่นสบายใจ ก็มีโอกาสที่จะเจริญได้ ไม่ใช่ไปเจริญอย่างอื่น มิฉะนั้นเราก็จะบอกว่า เจริญเมตตา แล้วก็ตอนไหนที่จะเจริญ ถ้าขณะนี้ไม่มี แล้วก็ไม่รู้ว่า เมตตาคืออะไร ก็ไม่สามารถมีเมตตามากขึ้น เพิ่มขึ้น บ่อยขึ้นได้ กับบุคคลทั่วไปยิ่งขึ้นได้ เพราะฉะนั้นต้องมีความเข้าใจให้ถูกต้อง ถูกต้องแล้วนะคะ เข้าใจแล้วนะคะ
คุณวรศักดิ์เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของอะไร
ผู้ฟัง เป็นผลของกุศล กุศลวิบาก
สุ. เป็นผลของกุศลระดับกามาวจรกุศล เพราะว่ากุศลมีหลายระดับ กุศลที่เป็นไปในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฎฐัพพะ ซึ่งเป็นวัตถุกาม กุศลที่ทำในวันหนึ่งๆ ก็เป็นเรื่องการให้ทานบ้าง เป็นต้น ยังไม่ถึงระดับที่คุณวรศักดิ์ถาม คือ ความสงบที่เป็นภาวนาที่เป็นสมถะ ที่จะทำให้กุศลอีกระดับหนึ่งเกิดขึ้น พ้นจากกามาวจรกุศล เพราะเป็นเรื่องของจิตที่สงบมั่นคง ไม่ใช่เป็นเรื่องของการให้วัตถุ รูป เสียง กลิ่น รส พวกนี้
กุศลอีกระดับหนึ่งที่มีความมั่นคงแล้ว จิตก็จะขึ้นถึงระดับรูปาวจรจิต เป็นกุศลที่มั่นคงที่มีรูปเป็นอารมณ์ แต่คุณวรศักดิ์ไม่เกิดเป็นพรหม ชาติก่อนจะเคยทำฌาน สงบจนกระทั่งถึงขั้นนั้นหรือเปล่า รู้ได้ไหมคะ ไม่ได้ แต่ก่อนจะตาย ใกล้จะตาย จิตขณะนั้นก็เป็นกุศลระดับของกามาวจรกุศล ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ หรือว่าขณะต่อไป หรือในสวรรค์ก็ได้ แต่ก็ยังคงเป็นกามาวจรกุศล
ผู้ฟัง อาจจะเป็นทาน หรือเป็นศีล
สุ. ได้ทั้งนั้นค่ะ เป็นกุศลที่ยังไม่ถึงความมั่นคงของความสงบ ด้วยกำลังของสมาธิขั้นอัปปนา เพราะฉะนั้นก็สามารถปฏิสนธิในพรหมโลก ก็จะเกิดเป็นผลของกุศลอย่างหนึ่งอย่างใด ซึ่งเรารู้ไม่ได้เลย ชาติก่อนก็เคยฟังธรรม ชาติก่อนก็เคยให้ทาน ชาติก่อนก็เคยช่วยเหลือบุคคลอื่น กุศลนั้นเราไม่สามารถรู้ว่า กุศลไหนที่ทำให้แต่ละคนเกิดเป็นมนุษย์ในขณะนี้ ชาตินี้ แต่ต้องเป็นผลของกุศล และเป็นผลของกุศลที่มีกำลังพอสมควร ทำให้ไม่เป็นคนบ้า ใบ้ บอด หนวก พิการแต่กำเนิด
ด้วยเหตุนี้ผลของกุศลนั้นก็ทำให้กามาวจรวิบาก หรือจะใช้อีกคำหนึ่งว่า “มหาวิบาก” เพราะว่ากุศลจิตเป็นปัจจัยให้เกิดวิบากจิต เป็นจิต แต่ว่าเป็นจิตต่างประเภท จิตหนึ่งเป็นเหตุ อีกจิตหนึ่งเป็นผล ถ้าจิตที่เป็นเหตุไม่เกิด จะให้จิตที่เป็นผลของจิตนั้นเกิดก็ไม่ได้
เพราะฉะนั้นก็ต้องทราบว่า ผลของขณะแรกของชาตินี้ คือ ปฏิสนธิจิตเกิดสืบต่อจากจุติจิตของชาติก่อน เมื่อกุศลจิตต้องมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย เวลาให้ผลที่ดี จิตที่ ปฏิสนธิ ก็ต่างกันไปตามกำลังของกรรม ถ้าเป็นกุศลอย่างอ่อน อกุศลเบียดเบียนได้ แม้เกิดเป็นมนุษย์ ก็เป็นผู้พิการ บ้า ใบ้ บอด หนวก ตั้งแต่กำเนิด แต่ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น ก็หมายความว่า เป็นผลของกุศลที่มีกำลังกว่า เพราะว่าบางทีกุศลเล็กน้อยมาก เพียงแค่เก็บของตกให้คนอื่น ก็เป็นกุศล แต่ว่ากุศลก็มีความต่าง ที่ว่ามีกำลังขึ้น
เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นผลของกุศลที่ทำให้ไม่เป็นผู้พิการตั้งแต่กำเนิด ก็จะประกอบด้วยโสภณเจตสิก เพราะเหตุว่าจิตที่ปฏิสนธิที่เกิด เป็นผลของอกุศล จะมีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วยไม่ได้เลย ขณะที่เป็นผลของกุศล ก็แล้วแต่ว่าเป็นผลของกุศลระดับไหน ถ้าอย่างอ่อนมาก ก็ไม่มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย แต่เวลาที่ไม่เป็นผู้พิการตั้งแต่กำเนิด ก็มีโสภณเจตสิกเกิดร่วมด้วย ซึ่งโสภณสาธารณเจตสิก เจตสิกฝ่ายดี ซึ่งเกิดกับโสภณจิต ต้องมี ๑๙ ประเภท ขาดอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้เลย
เพราะฉะนั้นถ้าขณะนั้นเป็นกุศลซึ่งไม่ประกอบด้วยปัญญา วันหนึ่งเราก็ทำกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญามากมาย ถ้ากุศลนั้นให้ผล ทำให้เกิดเป็นมนุษย์ มีโสภณสาธารณเจตสิกเกิดร่วมด้วย โสภณสาธารณเจตสิกที่ดีงามได้แก่ ศรัทธา หิริ โอตตัปปะ อโลภะ อโทสะ เป็นต้น ซึ่งเป็นธรรมฝ่ายดีเกิดร่วมด้วย แต่เมื่อเป็นผลของกุศลที่ไม่ประกอบด้วยปัญญา จะให้มีปัญญาเกิดร่วมด้วยได้ไหม ในเมื่อเหตุไม่ประกอบด้วยปัญญา
ผู้ฟัง ไม่ได้ครับ
สุ. ไม่ได้ เพราะฉะนั้นบุคคลในโลกนี้อาจจะเป็นเศรษฐีมั่งมีมหาศาล แต่ไม่มีปัญญาเจตสิกเกิดร่วมด้วย แล้วแต่ว่ากรรมที่ทำให้ปฏิสนธิประมวลมาซึ่งกรรมทั้งหมดแสนโกฏิกัปที่จะทำให้ปฏิสนธินั้นต่างกันไป ทำให้มีทั้งรูปร่างที่ต่างกัน ฐานะ เพื่อนฝูง ลาภ ยศ สรรเสริญ ความเป็นอยู่ทุกอย่างที่ต่างกัน เพราะฉะนั้นก็เห็นได้ว่า สำหรับคนที่เกิด และมีปัญญา ปัญญาที่นี่ไม่ใช่ทางโลก ที่มีความสามารถทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ที่คิดว่าเป็นคนฉลาด แต่ว่าต้องเป็นปัญญาที่สามารถเข้าใจถูก เห็นถูกในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่สามารถจะเข้าใจตามลำดับของการสะสม
เพราะฉะนั้นปฏิสนธิจิตต่างกัน แม้เกิดเป็นคนมีโสภณสาธารณเจตสิกฝ่ายดีเกิด แต่ก็ไม่มีปัญญาเกิดร่วมด้วยก็ได้
ที่มา ...