พรากจากความเห็นที่ยึดถือในสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล


    ผู้ฟัง ผมยังติดใจอยู่อย่างหนึ่ง คือ สิ่งที่ปรากฏนั้นคือสัตว์ ตัวตน บุคคล ทีนี้เราจะวินิจฉัยได้อย่างไรว่า ตัวเรานี่ไม่มี

    สุ. สภาพจำมีไหมคะ

    ผู้ฟัง ครับ

    สุ. ขณะนี้สิ่งที่ปรากฏทางตามีไหมคะ

    ผู้ฟัง มีครับ

    สุ. แล้วจำอะไร

    ผู้ฟัง ก็จำสิ่งที่ปรากฏทางตา

    สุ. เมื่อกี้นี้เป็นคนนี่คะ ที่จะสงสัยว่ามีคนไหม ในเมื่อเห็นก็เป็นคน แล้วจะกล่าวว่าไม่มีคนได้อย่างไร ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้นก็ต้องพิจารณาความจริงว่า ที่เคยจำว่าเป็นคน มีหลังจากที่เห็น และตอนที่เห็นกำลังปรากฏ จำหรือเปล่าว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตา ไม่มีเลย

    ผู้ฟัง ก็โดยธรรมชาติ คือ มันต้องจำได้ ใช่ไหมครับ

    สุ. ค่ะ แต่ไม่ใช่ประกอบด้วยความเข้าใจถูก ความเห็นถูกว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ถ้าเป็นความเข้าใจถูกว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ แม้การที่จำว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรื่องราวต่างๆ ก็จะรู้ว่า ขณะนั้นเป็นการจำสิ่งที่ปรากฏ โดยที่ความจริงสิ่งนั้นไม่มี ไม่ใช่สิ่งที่มีจริงๆ แต่เนื่องมาจากการเห็นแล้วจึงจำว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด เพราะฉะนั้นเรื่องราวทั้งวัน ก็มาจากการจำสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นสุข เป็นทุกข์ไป เป็นเรื่องใหญ่มาก เป็นอะไรก็แล้วแต่ทั้งหมด เพราะว่าไม่ได้รู้ความจริงว่า แท้ที่จริงแล้วสิ่งที่มีจริงเป็นเพียงสภาพธรรมจริงๆ ที่ปรากฏแล้วหมดไป

    เพราะฉะนั้นระหว่างการจำเรื่องราวต่างๆ ด้วยความไม่รู้ กับการจำแม้ขณะที่กำลังเห็นเป็นคน ก็เป็นธรรม ไม่ใช่สภาพเห็น แต่เป็นสภาพคิด

    เพราะฉะนั้นจะรู้ได้ไหมคะ ความต่างของการที่คิดกับขณะที่เห็น เวลาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องเยอะไหมคะ ตัว ก. ข. สีดำ สีขาวทั้งนั้น แต่เรื่องเยอะมาก เพราะฉะนั้นขณะนี้มีสิ่งที่ปรากฏทางตา รูปร่างสัณฐานต่างๆ ก็ไปจำเป็นเรื่องราวต่างๆ และอะไรจริงในขณะที่กำลังอ่านเรื่องในหนังสือ เห็นจริง คิดนึกจริง แล้วเรื่องนั้นอยู่ที่ไหน ถ้าจิตไม่คิดก็ไม่มี

    เพราะฉะนั้นในขณะนี้ที่เคยจำมาในแสนโกฏิกัปว่า มีสัตว์บุคคลจริงๆ ปัญญาก็ต้องรู้ว่า การจำมีจริง ความคิดมีจริง มาจากการเห็น ถ้าไม่มีการเห็น ลองไปนึกซิคะ จะไปนึกให้เป็นอะไรขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีสิ่งนั้นเกิดให้เห็นก่อน แต่พอเห็นแล้ว เริ่มจำแล้ว เป็นภูเขา เป็นประเทศนั้น เป็นคนนี้ เป็นเรื่องราวอย่างนั้นอย่างนี้จากสิ่งที่เพียงปรากฏ แล้วความจำสิ่งนั้นหมดแล้ว ดับแล้ว แต่ความจำว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ได้หมดไปเลย แม้ในฝันค่ะ ไม่มีสิ่งนั้นปรากฏ ก็ยังจำเป็นเรื่องต่างๆ ได้ แล้วเรื่องในฝันมีจริงไหม ถ้าเรื่องในฝันไม่มีจริง ขณะนี้เรื่องที่กำลังคิดจริงหรือเปล่า จริงเมื่อคิด เหมือนกับขณะที่ฝันเหมือนเห็น

    เพราะฉะนั้นกว่าจะเข้าใจจริงๆ ว่า แท้ที่จริงแล้วสภาพธรรมจริงๆ ที่มีจริงๆ ที่เป็นปรมัตถธรรม คือ จิต เจตสิก รูป จิตคิดมีจริง แต่เรื่องที่คิดมาจากเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง

    ผู้ฟัง ก็เป็นเราคิดก็ไม่จริง ใช่ไหมครับ

    สุ. เป็นการจำรูปร่างสัณฐาน

    ยอมที่จะพรากจากความเห็นที่ยึดถือในสิ่งที่ปรากฏว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล สิ่งนั้นสิ่งนี้หรือเปล่า หรือว่ายังจะต้องจำไว้ต่อไปอีก กี่ภพกี่ชาติ ก็ยังเข้าใจว่า สิ่งที่ไม่มีนั่นแหละ มีจริงๆ

    ผู้ฟัง เพราะว่าเป็นสิ่งที่อกุศลจิตเป็นกิเลส เป็นเครื่องทำให้จิตเราเศร้าหมอง อย่างนั้นใช่ไหม

    สุ. เป็นตัวคุณวิจิตรที่คิดว่าไม่ควรจำ ใช่ไหมคะ

    ผู้ฟัง ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นครับ

    สุ. เมื่อไรจะหมดความเป็นตัวเรา ซึ่งเป็นแต่เพียงขณะที่คิดเท่านั้นเอง ความจริงต้องเป็นความจริง หลังเห็นแล้วก็คิดรูปร่างสัณฐานต่างๆ แต่สามารถที่จะเห็นถูกว่า เป็นสภาพคิด สิ่งต่างๆ ที่มี มีเมื่อคิด

    เวลานี้มีทรัพย์สมบัติเท่าไร ถ้าไม่คิดมีไหมคะ ไม่มี แค่เห็น แค่เห็นจริงๆ และคิดหลังจากที่เห็นแล้วแต่จะคิดเรื่องอะไร

    ผู้ฟัง แต่ก็เข้าใจว่า อันนี้เป็นของเรา

    สุ. ก็เป็นธรรมดา ความคิดจากสิ่งที่เห็นเป็นธรรมดา แต่ปัญญาที่รู้ว่า ขณะนั้น สภาพคิดไม่ใช่เรา ที่จะรู้ตามความเป็นจริงว่า ไม่ใช่ตัวตน นี่คือจุดประสงค์ของการฟัง ฟังทำไมละคะ ฟังมาตั้งนาน ฟังเพื่อให้เข้าใจถูกต้องว่า เป็นธรรม และธรรมก็ไม่ใช่ใคร สิ่งที่ปรากฏทางตาก็เป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา คิดก็เป็นคิด เสียใจก็เป็นเสียใจ ดีใจก็เป็นดีใจ เกิดแล้วก็หมดไป ไม่มีอะไรเหลือเลยสักอย่างเดียว แต่ยังมีเหตุปัจจัยที่จะให้สภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไปแต่ละขณะ ซึ่งใครก็บังคับบัญชาไม่ได้ ก็ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย จนกว่าปัญญาจะสมบูรณ์ดับการยึดถือทั้งหมดถึงความเป็นพระอรหันต์ ไม่ต้องเห็นอีก ไม่ต้องเกิดอีก


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 337


    หมายเลข 12424
    26 ส.ค. 2567