รู้ชื่อ รู้เรื่อง ไม่ได้เป็นไปเพื่อการศึกษาธรรม


    คุณอุไรวรรณ คุณอรรณพคะ มีคำถามจากท่านผู้ฟังถามว่า ขณะกำลังฟังธรรม ฟังเรื่องราวชื่อธรรม มีความคิดว่า กำลังฟังเพื่อความเข้าใจธรรมที่กำลังฟังในขณะนั้น แต่เนื่องจากลักษณะของสภาพธรรมเกิด และดับ สลับกันอย่างรวดเร็วมาก จนไม่รู้ตัวเลยว่า ขณะนั้นก็มีความคิดสงสัยในธรรมอื่นๆ ที่ไม่ได้ฟังในขณะนั้น เป็นความสงสัยในชื่อ และเรื่องราวที่เคยได้ยินได้ฟังมา ซึ่งผู้ฟังธรรมจะรู้จักลักษณะความคิดอย่างนี้ได้อย่างไร

    อ.อรรณพ เมื่อสักครู่ท่านอาจารย์ก็ตอบพี่อรวรรณไปแล้วนะครับ ว่า ถ้าเป็นปัญญาที่เกิดจึงจะรู้ และรู้ประโยชน์ สภาพที่รู้ประโยชน์ คือ ปัญญา และถึงขั้นที่รู้ตามความเป็นจริงก็ต้องเป็นปัญญาที่มีกำลังขึ้น แต่ถ้าเป็นการคิดนึกด้วยการตรึก การคิดต่างๆ เพราะสภาพธรรมมีหลากหลาย ความคิดนึกด้วยวิตก ความตรึกที่เป็นไปพร้อมกับโมหะก็มี ด้วยโลภะกับโมหะก็คิดนึกไป อย่างการวางแผนในทางโลก เราก็คิดด้วยโลภะซึ่งมีกำลัง และมีวิตก ความตั้งมั่นที่เป็นอกุศลต่างๆ ก็ดูเหมือนว่าสามารถวางแผนต่างๆ ได้แยบยลในรูปแบบของอกุศล

    เพราะฉะนั้นสภาพธรรมเกิดดับสลับรวดเร็ว ขณะที่ปัญญาเกิดขึ้น ก็นิดหนึ่ง ขณะที่เป็นตัวเป็นตนว่า จะเข้าใจให้ได้ จะต้องเข้าใจคำ เข้าใจเรื่องให้ได้ ขณะนั้นให้รู้ว่า ไม่ใช่ด้วยปัญญา ไม่ใช่ตัวสภาพธรรมที่เป็นการเข้าใจ แต่ว่าเป็นความคิดนึก ความจดจำที่เป็นอกุศล ที่ประกอบด้วยความไม่รู้ เพราะฉะนั้นอกุศลเกิดขึ้น แม้จะฟังธรรมอยู่ แต่สนใจในชื่อ ในเรื่อง และอยากรู้ชื่อ รู้เรื่อง โดยไม่เป็นไปเพื่อการเข้าใจสภาพธรรมที่ปรากฏจริงๆ ในชีวิตประจำวัน ขณะนั้นพอกพูนอวิชชา เพราะว่าฟังแล้วไปพอกพูนความอยากรู้ชื่อ รู้เรื่อง ไม่ได้เป็นไปเพื่อการศึกษาธรรม แต่ในพระธรรมท่านก็แสดงไว้ว่า พยัญชนะ และอรรถสำคัญ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ทรงแสดงธรรมพร้อมด้วยอรรถ และพยัญชนะ คือ ทั้งความหมาย อรรถที่ลึกซึ้ง ด้วยภาษา ด้วยพยัญชนะต่างๆ ที่ถูกต้อง ตรง เพราะฉะนั้นพยัญชนะที่ทรงแสดง เพื่อให้เข้าใจอรรถ ไม่ใช่ทรงแสดงพยัญชนะ ให้ไปหลงติดอยู่กับพยัญชนะ “ชื่อ ย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง” ชื่อ และเรื่องราวย่อมครอบงำสิ่งทั้งปวง ก็ครอบงำไม่ให้รู้สภาพธรรมทั้งปวงที่กำลังปรากฏอยู่ แม้ปรากฏอยู่ แต่ก็เฉไฉไปสนใจเรื่อง สนใจชื่อเสีย

    เพราะฉะนั้นในขณะที่คิดนึกในขณะนั้น ไม่เป็นปัญญา แต่เป็นอกุศล ขณะนั้นก็พอกพูนโมหะให้มากขึ้นๆ พอกพูนอวิชชา แต่ขณะที่เข้าใจก็พอกพูนวิชชาขึ้น

    เพราะฉะนั้นเมื่อสะสมมาที่จะเป็นอกุศล ก็เป็นไปอย่างนั้น แต่ก็ต้องสะสมมาทางฝ่ายกุศลด้วย เพราะขณะที่ฟังแล้วมีความเข้าใจ ขณะที่จะเกื้อกูลก็ต้องเป็นขณะที่เป็นปัญญา แม้เล็กน้อย และเราก็อย่าถูกกิเลสลวง คือ เอาความไม่รู้มาเป็นปัญญา เพราะท่านก็แสดงไว้ในธรรม เครื่องล่อลวงว่า การที่มีความเดือดร้อนใจ หรือมุ่งที่จะศึกษาให้รู้มากๆ ย่อมลวงเสมือนเป็นผู้ใคร่ในการศึกษาธรรม เหมือนสนใจที่จะมาฟังธรรม สนใจที่จะศึกษา แต่จริงๆ แล้วเป็นอกุศลที่ลวงว่าเป็นกุศล

    เพราะฉะนั้นไม่ใช่ทุกคนมาฟังธรรมแล้ว จะเข้าใจธรรม หรือพอกพูนวิชชา ถูกลวงด้วยอกุศลเมื่อไร บางคนยิ่งฟังธรรมมาก มีอกุศลมาก เพราะว่าฟังไม่ถูก ฟังไม่ดี

    เพราะฉะนั้นฟังด้วยดีจึงจะได้ปัญญา ไม่ใช่ฟังอย่างไรก็ได้ แล้วปัญญาจะเกิด ถ้าได้ยินแล้วคิดไปคนละเรื่อง ได้ยินแล้วคิดจะทำ คิดจะต้องการ ขณะนั้นแม้ได้ยินธรรม แต่ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ฟัง เพราะไม่ได้เป็นผู้ฟังด้วยดี


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 339


    หมายเลข 12433
    25 ส.ค. 2567