โสมนัสเวทนากับโลภเจตสิกต่างกันอย่างไร
ผู้ฟัง ลักษณะของโสมนัสเวทนากับโลภเจตสิก มีความต่างเชิงสภาวะอย่างไรบ้างครับ
สุ. โสมนัสเวทนาเป็นความรู้สึก และโลภเจตสิก เป็นสภาพที่ติดข้อง
ผู้ฟัง ขณะที่เราทำกุศล ก็ไม่แน่ใจว่า ขณะที่ทำกุศลไปแล้ว เป็นลักษณะของโลภะที่พอใจในกุศลที่ได้ทำ หรือเป็นลักษณะของโสมนัสเวทนาซึ่งเป็นกุศล
สุ. หรือบางทีก็เป็นโลภะด้วย
ผู้ฟัง ใช่ครับ
สุ. เพราะเราสามารถทำกุศลที่คนอื่นทำไม่ได้ บางครั้งก็เป็นอย่างนั้นได้ ใช่ไหมคะ เป็นมานะ เป็นความสำคัญตน แม้ว่าจะมีโสมนัสที่ได้กระทำ แต่สภาพของจิตก็เป็นสภาพที่เกิดดับสลับสืบต่อกันอย่างรวดเร็ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่ใช่สติสัมปชัญญะจริงๆ ก็ไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะนั้นเป็นอะไร
แต่ก่อนอื่นที่จะไปรู้ว่า เป็นอกุศล หรือเป็นโสมนัส หรือเป็นอุเบกขา เป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่ตัวตน ต้องมีความเข้าใจอันนี้ก่อน เพราะว่าสภาพธรรมเกิดแล้วดับไป เร็วเกินกว่าที่จะไปรู้ลักษณะซึ่งเป็นอย่างนั้น เพราะว่าลักษณะของโลภะต้องเป็นโลภะ จะเป็นโทสะไม่ได้ จะเป็นอย่างอื่นไม่ได้ แต่ว่าสภาพที่เป็นนามธรรมไม่ใช่เรา
สำหรับโทสะเกิดเมื่อไร ก็รู้ ขุ่นใจ ไม่สบายใจ แต่เป็นเรา เพราะฉะนั้นถ้าปัญญาจะเกิดขึ้น ก็คือเริ่มเข้าใจในความเป็นธรรม แต่ลักษณะของโทสะก็ไม่เปลี่ยนเป็นลักษณะของโลภะ แต่ไม่ได้ใส่ใจ เพราะไม่จำเป็นต้องใส่ใจที่จะไปรู้ลักษณะที่รู้กันเสมออยู่แล้ว แต่ลักษณะที่ไม่รู้ก็คือ สภาพที่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ซึ่งดับเร็วมาก เพราะฉะนั้นก็ค่อยๆ เข้าใจขึ้นในความเป็นนามธรรม
ผู้ฟัง ก็คือไม่ต้องไปพยายามรู้ แต่ให้ศึกษาธรรม จนกว่าปัญญาจะทำหน้าที่ของเขาเองใช่ไหมครับ
สุ. ค่ะ แล้วก็รู้ว่า ในขณะนี้โสภณธรรมก็มีหลายระดับขั้น ขั้นฟังเข้าใจ ก็เป็นธรรมฝ่ายดี แต่ยังมีที่สูงกว่านั้นอีก คือ สามารถเข้าถึงลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังเป็นอย่างนั้นจริงๆ และสูงกว่านั้นอีก คือ สามารถแทงตลอดความจริงของสภาพธรรม จนประจักษ์สภาพที่ไม่ใช่ตัวตน
ผู้ฟัง ในขณะที่สวด นโม ตอนจบ บางครั้งก็น้ำตาไหล ลักษณะที่น้ำตาไหล เป็นโทสะ หรือเป็นโสมนัส
สุ. กำลังเห็นเดี๋ยวนี้เป็นอะไร
ผู้ฟัง เป็นวิบาก
สุ. เพราะฉะนั้นไปพูดถึงตอนกราบพระน้ำตาไหล ก็หมดไปนานแล้วนะคะ แต่ขณะนี้เป็นธรรม รู้หรือยังว่าเป็นธรรม
ผู้ฟัง ยังไม่รู้ครับ
ที่มา ...