เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะเท่านั้นจริงๆ


    คุณอุไรวรรณ ท่านอาจารย์จะกรุณาเพิ่มเติมตรงนี้ไหมคะ

    สุ. ค่ะ ก็เป็นชีวิตประจำวัน ซึ่งยากที่จะรู้ความจริงของสภาพธรรม เพราะว่าต้องทราบว่าขณะนี้ สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรมทั้งหมด

    เมื่อคืนหลับสบายไหมคะ ใครหลับสบาย ใครหลับไม่สบายบ้าง คุณสุรีย์บอกว่า ร้อน ขณะนั้นหลับสนิทหรือเปล่า เพราะฉะนั้นตอนที่ร้อนนั้นไม่ใช่หลับสนิท

    เพราะฉะนั้นนี่คือความละเอียดของธรรมที่จะต้องเข้าใจตามความเป็นจริง ไม่ให้หลับได้ไหม คืนนี้จะไม่หลับ ได้ไหมคะ แสดงความเป็นอนัตตา ธรรมถ้าฟังแล้วเข้าใจในความเป็นธรรม ซึ่งไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เราคงไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องชื่อมากมายในพระไตรปิฎก โดยที่ว่า ไม่เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงๆ ในขณะนี้ เพราะฉะนั้นการฟังธรรม ต้องมีความเข้าใจว่า ฟังให้เข้าใจสิ่งที่มีจริง ไม่ต้องไปหาที่ไหนเลย เดี๋ยวนี้เอง กำลังมี แต่ไม่เคยรู้เลยว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะเท่านั้นจริงๆ

    นี่คือประโยชน์ของชาตินี้ทั้งชาติ จะได้ฟังเรื่องธรรมมากมายสักเท่าไร จากพระวินัย พระสูตร พระอภิธรรม ก็เพื่อให้มีความเข้าใจที่มั่นคงว่า ไม่มีตัวตน แต่เป็นธรรม เพราะการละการที่เคยยึดถือว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด และเป็นเรา เป็นของเรา ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ต้องเข้าใจจริงๆ ที่มั่นคง เป็นสัจญาณ เป็นปัญญาที่รู้จริงๆ ไม่เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นว่า ขณะนี้เป็นธรรม แล้วก็รู้ได้ พูดแค่นี้ว่าเป็นธรรม ก็รับฟัง แต่เมื่อฟังแล้วก็ค่อยๆ ฟังอีก พิจารณาอีก จนเห็นความเป็นธรรมซึ่งไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่เราหวังอย่างหนึ่งอย่างใดเลย

    เพราะฉะนั้นขอทบทวนอีกครั้งหนึ่ง ฟังธรรมเพื่ออะไรคะ ทุกคนตอบได้ว่า เพื่อเข้าใจ ถามต่อนะคะ ว่า ฟังธรรมเพื่อเข้าใจเท่านั้นหรือ

    ผู้ฟัง ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ และเพื่อปฏิบัติถูกค่ะ

    สุ. แต่ว่าไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชา เพราะฉะนั้นจะไม่จบอยู่แค่ฟังธรรมเพื่อเข้าใจ เพราะว่าบางคนเข้าใจแล้วก็ไม่ได้ละคลายกิเลสใดๆ เลยทั้งสิ้น เพียงแต่ฟัง แล้วก็รู้สึกว่ารู้แล้ว เริ่มเข้าใจขึ้น นี่เป็นธรรม จิตเห็นขณะนี้เป็นธาตุชนิดหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นเห็นสิ่งที่ปรากฏ นี่คือฟังแล้วเข้าใจ แต่ว่ามีประโยชน์อะไร เป็นผู้ว่าง่ายหรือเปล่า เพราะว่าฟังเพื่อจะละอกุศล ความไม่รู้ ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดทุจริตทางกาย ทางวาจา และทางใจ

    เพราะฉะนั้นประโยชน์สูงสุด คือ เมื่อเข้าใจแล้ว ละคลายอกุศล จนกระทั่งสามารถดับอกุศลได้ ไม่เกิดอีกเลย นี่เป็นจุดประสงค์ของการฟังหรือเปล่า หรือว่าแค่รู้ จะได้จำได้ว่า อยู่ที่ไหน เล่มไหน เท่านั้นเอง นั่นไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง

    เพราะฉะนั้นการฟังธรรม คงขาดความละเอียดไม่ได้ แม้เป็นคำที่เราได้ยินได้ฟังบ่อยๆ แต่ถ้าฟังแล้วเพิ่มความเข้าใจความเป็นอนัตตายิ่งขึ้น อันนั้นก็ไม่จำเป็นต้องท่อง แต่รู้ว่า เป็นความจริง

    เพราะฉะนั้นที่ถามว่า เมื่อคืนนี้ใครหลับสบายบ้าง ตอนนี้จะตอบว่าอย่างไรคะ

    ผู้ฟัง หลับไม่ค่อยสบาย

    สุ. ไม่ค่อยสบาย ขณะนั้นไม่ใช่หลับสนิท มีคำตอบอื่นไหมคะ

    ผู้ฟัง ฝัน

    สุ. ขณะนั้นก็ไม่ใช่หลับสนิท นี่คือในการที่เราจะเข้าใจชื่อต่างๆ ที่กล่าว หมายความถึงสภาพธรรมที่มีจริง

    ปฏิสนธิจิตเกิด ขณะแรกดับไปแล้ว ไม่จบการให้ผลของกรรม การที่จิตแต่ละขณะจะเกิดขึ้นได้ อาศัยปัจจัยหลายประการ ไม่ใช่อย่างเดียวเลย มีกรรมที่ทำแล้วทำให้ปฏิสนธิจิตเกิด เมื่อปฏิสนธิจิตดับแล้ว กรรมก็ไม่ได้สิ้นสุด แต่กรรมก็ยังทำให้จิตประเภทเดียวกันที่ทำให้เกิดเป็นบุคคลนี้เกิดสืบต่อ แต่ไม่ได้ทำกิจเกิดขึ้นต่อจากจุติจิต เพราะฉะนั้นก็เป็นจิตที่เกิดสืบต่อจากปฏิสนธิจิต ดำรงภพชาติความเป็นบุคคลนี้ ระหว่างที่ยังไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่ได้กลิ่น ไม่ลิ้มรส ไม่รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสเลย เหมือนกันหมดทุกภพชาติ จะเกิดเป็นมนุษย์ หรือจะเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นสัตว์เดรัจฉาน ตัวเล็ก ตัวใหญ่อย่างไร ปฏิสนธิจิตขณะนั้นไม่มีอารมณ์ใดๆ ปรากฏให้รู้เลยว่า มีจิตเกิดขึ้นแล้ว และเมื่อปฏิสนธิจิตดับไปแล้ว จิตทุกขณะ เว้นจุติจิตของพระอรหันต์ เป็นปัจจัยทำให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อ

    ตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งถึงเดี๋ยวนี้ มีขณะไหนบ้าง ของใครที่ขาดจิต ไม่มีจิตเกิด ไม่มีเลย แต่ว่าจิตที่เกิดทำกิจหน้าที่ตามประเภทของจิตนั้น ตามควร เพราะเหตุว่าเมื่อกล่าวว่า จิตที่ดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิด โดยสภาวะ โดยความเป็นอนันตรปัจจัย ต้องเกิดสืบต่อทันทีไม่มีระหว่างคั่น แต่ก็ยังมีปัจจัยอื่นอีก คือ ต้องเป็นไปตามลำดับด้วย หมายความว่าเมื่อปฏิสนธิจิตขณะแรกดับ จิตขณะต่อไปที่เกิดสืบต่อดำรงภพชาติ จะให้มีจิตอื่น เช่น โลภมูลจิต หรือจิตเห็นเกิดขึ้นไม่ได้เลย โดยสภาพความเป็นสมันตรปัจจัย ซึ่งจิตแต่ละขณะเกิดสืบต่อ ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนแปลง หรือไปจัดสรรให้จิตขณะโน้นเกิดแทนจิตขณะนี้ เป็นไปไม่ได้เลย

    นี่คือความเป็นอนัตตา นี่ก็คงเข้าใจได้ถึงความเป็นอนัตตา


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 344


    หมายเลข 12461
    25 ส.ค. 2567