สิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว ยังคิด ยังจำเรื่องราว


    ผู้ฟัง ขอสอบถามท่านอาจารย์เกี่ยวกับเรื่องวิบากจิต และเรื่องชวนะ ซึ่งในวิถีจิต ก่อนที่ชวนจิตจะเกิดขึ้นทางปัญจทวาร ต้องมีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสทางกาย ซึ่งเมื่อกี้ฟังแล้ว พระอรหันต์ท่านดับกิเลสได้แล้ว ท่านจึงไม่หวั่นไหวในอกุศลวิบากหรือกุศลวิบาก เพราะพระอรหันต์ยังมีกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก ถูกต้องไหมครับ

    สุ. ถ้าเป็นวิบาก ต้องเป็น ๑ ใน ๒ จะเป็นวิบากเปล่าๆ ไม่ได้ เพราะว่าวิบากเป็นผลของกรรม เมื่อกรรมมีกุศลกรรม และอกุศลกรรม เมื่อถึงกาลที่กุศลกรรมจะให้ผล กุศลวิบากจึงเกิดได้ ไม่ใช่พอถึงเวลาที่กุศลกรรมจะให้ผล แล้วอกุศลวิบากจิตเกิด ไม่ใช่อย่างนั้น เพราะฉะนั้นก็ต้องทราบว่า เวลาเราจะพูดเรื่องจิตในชีวิตประจำวัน ถ้าพูดเพียง ๒ ชาติ สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ก็พอจะเข้าใจได้ คือ วิบากซึ่งเป็นผล และกุศล และอกุศลซึ่งเป็นเหตุ รายละเอียดก็คงไม่ต้องกล่าว เพราะรู้ไม่ได้ แต่รู้ว่ามีเท่านั้นเอง อย่างเช่นเห็นแล้ว ขณะนี้กำลังเห็น ใครจะรู้ว่า ทั้งๆ ที่รูปมีอายุที่สั้นมาก คือ เพียง ๑๗ ขณะจิต จิตเกิดดับ ๑๗ ขณะ รูปๆ หนึ่งจะดับไป รูปยังไม่ทันดับเลย เพียงแค่เสียงปรากฏ กุศลจิตหรืออกุศลจิตก็เกิดเป็นไปในเสียงนั้นแล้ว โดยที่ไม่รู้เลยว่า เวลาที่เสียงปรากฏกับจิตที่ได้ยิน จิตที่ได้ยินเป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย โดยนัยเดียวกัน

    นี่คือความรวดเร็วที่จะให้เห็นว่า จิตเกิดดับเร็วแสนเร็วแค่ไหน ไม่มีใครรู้ เหมือนเห็นตลอด และไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย แต่ความจริงทั้งๆ ที่รูปซึ่งมีอายุ ๑๗ ขณะยังไม่ดับไป หลังเห็นแล้วก็เป็นกุศลหรืออกุศล สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่ทันรู้อะไรเลยทั้งสิ้น

    ผู้ฟัง เพราะว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่ง ก็คืออกุศลในอดีตที่เราสั่งสมไว้ ที่จะโกรธรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ หรือชอบรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็เลยได้คำตอบมากขึ้นว่า รวดเร็วมาก แล้วเราจะไปรู้ชวนะได้อย่างไรว่า ชวนะตอนนั้นมีรูปเป็นอารมณ์ในปัญจทวาร ไม่ได้มีจักขุวิญญาณเป็นอารมณ์ว่า เป็นกุศลวิบากหรืออกุศลวิบาก แต่ต้องเป็นกุศลหรืออกุศลทันที

    สุ. ถ้ารูปที่ปรากฏเป็นรูปที่ดี เป็นอิฏฐารมณ์ จิตที่รู้รูปนั้นเป็นกุศลวิบาก แต่ว่าใครจะเป็นกุศลที่เป็นสติปัฏฐาน หรืออะไรก็ตามแต่ หรือจะเป็นอกุศลประเภทหนึ่งประเภทใด คือ เป็นโลภะ โทสะ หรือโมหะ หรือไม่มีเลย เพราะว่าได้ดับกิเลสหมดแล้ว ก็เป็นกิริยาจิต นี่คือไม่เกี่ยวข้องกับกรรมที่ได้กระทำแล้ว ถึงกาลที่ทำให้มีการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส ระหว่างที่ยังมีชีวิตอยู่ กรรมก็มีโอกาสให้ผลให้เห็นบ้าง ได้ยินบ้าง ได้กลิ่นบ้าง ลิ้มรสบ้าง รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสบ้าง แต่ต่อจากนั้นไม่ใช่วิบาก แล้วแต่การสะสมมาจะเป็นโลภมูลจิต หรือโทสมูลจิต หรือโมหมูลจิต หรือเป็นกุศลจิต เพราะฉะนั้นจึงต้องแยกจิต จิตที่เป็นวิบาก เป็นผลของกรรมแล้วในอดีต ต้องถึงกาลที่พร้อมจะให้ผล ถ้าเป็นกุศลกรรมที่พร้อมจะให้ผล กุศลวิบากจิตต้องเกิด ใครก็ไปยับยั้งไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นใครก็ไปจัดสรร ไปห้าม ไปกันได้ และเมื่อถึงกาลที่อกุศลกรรมที่ได้ทำแล้ว สุกงอม พร้อมด้วยปัจจัยที่ให้ผลเกิดขึ้นเป็นอกุศลวิบาก ใครก็ห้ามไม่ได้เลย แต่ว่าถ้าผู้นั้นไม่มีกิเลสเลย ไม่มีกุศลจิต และอกุศลจิต แต่เป็นกิริยาจิตสำหรับพระอรหันต์ แต่สำหรับผู้ที่ไม่ใช่พระอรหันต์ ก็แล้วแต่ว่าจะเป็นกุศลจิตหรือเป็นอกุศลจิตประเภทใด ต้องแยก ไม่ได้หมายความว่าเมื่ออารมณ์เป็นอิฏฐารมณ์ กุศลจิตก็เกิด เมื่ออารมณ์เป็นอนิฏฐารมณ์ อกุศลจิตก็เกิด ไม่ใช่ค่ะ

    ผู้ฟัง เ พราะฉะนั้นการอบรมเจริญปัญญา เพื่อให้สติปัฏฐานรู้ลักษณะของสภาพธรรมได้ บางครั้งเราก็ต้องแยกการศึกษาว่า ขณะที่กุศลจิต อกุศลจิตเกิด เราพอจะรู้ได้ และอารมณ์ที่ปรากฏในขณะนั้น ซึ่งเราไม่สามารถแยกได้เลยว่าเป็นทวารไหน อารมณ์กำลังปรากฏอยู่ แต่ทำให้รู้ว่า เหตุ และผลของพระธรรมที่พระผู้มีพระภาคถ้าไม่ทรงแสดงแล้ว ไม่มีทางรู้เลยว่า เป็นเหตุ และเป็นผล กว่ากุศลจิต และอกุศลจิตจะเกิด ยังต้องมีการสั่งสมขึ้นมาอีก ใช่ไหมครับ

    สุ. ค่ะ ขณะใดที่สติสัมปชัญญะไม่เกิดที่จะรู้ลักษณะของสภาพธรรม ขณะนั้นก็เป็นความเข้าใจเรื่องราวของสภาพธรรมเท่านั้นเอง แต่ตัวธรรมจริงๆ แม้ปรากฏ ซึ่งปรากฏทั้งวัน เป็นธรรมทั้งนั้น แต่ไม่มีปัญญาที่เห็นถูก เข้าใจถูกในความเป็นธรรม เพราะว่าไม่ได้สะสมมาที่จะเข้าใจได้อย่างนั้น

    ผู้ฟัง มันละเอียดมากเสียจนเรารู้ไม่ได้ ยังไม่ใช่วิสัย จะน้อมไปในจิตดวงไหน อะไรต่างๆ

    สุ. ค่ะ จะน้อม ก็คือผิดเสียแล้ว ไม่เป็นอนัตตาเลย เป็นเราอยู่ตลอดค่ะ

    ผู้ฟัง ขาดความเข้าใจ ก็ทำให้ความสงสัยปนแทรกตลอด

    สุ. ค่ะ เพราะฉะนั้นธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้ง และเป็นจริงตามที่ได้ทรงแสดงไว้ แต่ว่าขณะนี้เข้าใจเพียงเรื่องราว ทั้งๆ ที่สภาพธรรมก็ปรากฏ และที่กล่าวถึงสิ่งที่ปรากฏทางตาบ่อยๆ เพราะว่าทุกคนข้าม ไปคิดที่จะทำอย่างโน้น จะเข้าใจอย่างนี้ แต่สิ่งที่ปรากฏทางตา ปรากฏอยู่ตลอด ไม่เคยรู้ จึงไม่เคยคลายการที่เคยยึดถือสภาพที่ปรากฏทางตาว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดอยู่ตลอดมาเรื่อยๆ และหนทางที่จะรู้จริงๆ ว่า ไม่มีคน ไม่มีสัตว์ เป็นเพียงสิ่งที่สามารถปรากฏทางตา แล้วคิด แล้วจำว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้

    เพราะฉะนั้นต้องแยกสิ่งที่ปรากฏทางตาดับแล้ว แต่ก็ยังคิด ยังจำเรื่องราวของ สิ่งที่ปรากฏทางตาอยู่เรื่อยๆ


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 351


    หมายเลข 12485
    25 ส.ค. 2567