มุทุลักขณชาดกที่ ๖ โลภะเป็นสิ่งที่ละยาก
โลภะเป็นสิ่งที่ละยาก เพราะฉะนั้น คงจะยังไม่ปรารถนาเป็นผู้ที่ไม่ขัดข้องเหมือนอากาศ คือ ไม่ติด ไม่พัวพัน ไม่รัก ไม่ชัง ไม่หลงได้
ขอกล่าวถึงข้อความในชาดกบางชาดก เพื่อแสดงถึงโยนิโสมนสิการ และ อโยนิโสมนสิการของผู้ที่สะสมอบรมปัญญาสามารถรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ในภายหลังว่า ควรพิจารณาเรื่องของโยนิโสมนสิการ และอโยนิโสมนสิการในชีวิตประจำวันจริงๆ มิฉะนั้นจะไม่เข้าใจความมุ่งหมายที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงชาดก เพราะว่า ในพระไตรปิฎก มีไหมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแต่เฉพาะเรื่องของสติปัฏฐานเท่านั้น
เมื่อเป็นผู้ที่ทรงรู้แจ้งการสะสมของจิตตามความเป็นจริง ก็รู้ว่าชีวิตจริงๆ ของแต่ละคน ไม่ใช่มีแต่การเจริญสติปัฏฐาน แต่มีทุกเรื่องที่ควรจะได้สะสมกุศลโดยการพิจารณาอย่างแยบคาย
อรรถกถาชาดก เอกนิบาต อรรถกถา มุทุลักขณชาดกที่ ๖ พระผู้มีพระภาคตรัสเล่าถึงเมื่อครั้งพระองค์ทรงเป็นพระโพธิสัตว์ ข้อความมีว่า
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตว์เกิดในตระกูลพราหมณ์มีสมบัติมากตระกูลหนึ่งในแคว้นกาสี เมื่อท่านเรียนจบศิลปะทุกประเภทแล้วได้ออกบวชเป็นฤๅษี อาศัยอยู่ในป่าหิมพานต์ เป็นผู้ที่ได้อภิญญาสมาบัติ
กาลครั้งหนึ่ง ท่านออกจากป่าหิมพานต์ เพื่อบริโภคโภชนะที่มีรสเปรี้ยวบ้าง เค็มบ้าง และได้ท่องเที่ยวภิกษาจารอยู่ในกรุงพาราณสีถึงประตูพระราชวัง พระราชาทรงเลื่อมใสในอิริยาบถของท่าน ก็รับสั่งให้นิมนต์มา ได้อาราธนาให้พักอยู่ที่ พระราชอุทยาน และให้ฉันในพระราชวัง ซึ่งท่านก็ได้ถวายโอวาทพวกราชสกุล และ ได้อยู่ในพระราชอุทยานนั้น ๑๖ ปี
อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสด็จออกไปปราบปรามกบฏชายแดนซึ่งกำเริบ และได้ตรัสให้พระมเหสีพระนามว่า มุทุลักขณา ปรนนิบัติฤๅษีโพธิสัตว์ ซึ่งพระนางก็ทรงเตรียมอาหารถวายพระโพธิสัตว์ตามที่พระราชาทรงสั่งไว้
อยู่มาวันหนึ่ง พระนางมุทุลักขณาทรงเตรียมอาหารสำหรับพระโพธิสัตว์เสร็จแล้ว ทรงดำริว่า วันนี้พระคุณเจ้าคงช้า จึงได้ทรงสรงสนานด้วยเครื่องหอม และทรงตกแต่งพระองค์ด้วยเครื่องประดับทั้งปวง ให้ลาดพระยี่ภู่น้อย ณ พื้นท้องพระโรง ประทับเอนพระวรกายรอพระโพธิสัตว์จะมา ซึ่งเมื่อพระโพธิสัตว์กำหนดเวลาของตนแล้ว ก็ได้ออกจากฌานเหาะไปสู่พระราชวังทันที พระนางมุทุลักขณาทรงสดับเสียง ผ้าเปลือกไม้ก็รับสั่งว่า พระผู้เป็นเจ้ามาแล้ว และรีบเสด็จลุกขึ้น ผ้าที่ทรงเป็นผ้าเนื้อเกลี้ยงก็หลุดลง พอดีพระโพธิสัตว์เข้าทางช่องพระแกล เมื่อพระโพธิสัตว์เห็น ก็ตะลึงดูความงามของพระวรกายของพระนาง กิเลสที่อยู่ภายในของท่านก็กำเริบเป็นเหมือนต้นไม้มียางที่ถูกมีดกรีด
ทุกคนที่กำลังมีโลภะเกิดขึ้น ขอให้ระลึกว่า แต่ละขณะที่โลภะเกิดขึ้น โลภะสะสมอยู่ในจิตจนชุ่มเหมือนกับต้นไม้มียางที่ถูกมีดกรีดทุกขณะ แต่ไม่เคยมีใครรู้สึกอย่างนี้ใช่ไหม ถ้าไม่ได้ฟังคำอุปมาที่เปรียบเทียบให้เห็นจริงๆ ว่า ลักษณะของโลภะนั้นชุ่มอย่างนั้นจริงๆ
ทันใดนั้นเองฌานของท่านก็เสื่อม เป็นเหมือนกาปีกหักเสียแล้ว ท่านยืนตะลึง รับอาหารแล้วก็ไม่ได้บริโภค ลงจากปราสาทเดินไปพระราชอุทยาน เข้าไปในบรรณศาลา วางอาหารไว้ไม่บริโภค นอนซมบนกระดานที่นอนถึง ๗ วัน
นี่คือพระโพธิสัตว์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นอุทาหรณ์ที่เตือนทุกคนในเรื่องความไม่ประมาท แม้เป็นผู้ที่อบรมเจริญปัญญาถึงความเป็นพระโพธิสัตว์ที่จะได้ตรัสรู้ แต่เมื่อยังไม่ได้ตรัสรู้ กิเลสที่สะสมมาก็จะเกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัยได้ทุกอย่าง
ในวันที่ ๗ พระราชาทรงปราบปรามปัจจันตชนบทราบคาบแล้ว เสด็จกลับมา ยังไม่ได้เสด็จไปพระราชนิเวศน์ ด้วยทรงพระดำริว่า จะพบพระฤๅษีก่อน พระราชาจึงเสด็จเลยไปพระราชอุทยาน ทอดพระเนตรเห็นฤๅษีนอนอยู่ก็ทรงดำริว่า ฤๅษีคงจะไม่สบาย พระราชาจึงรับสั่งให้ทำความสะอาดบรรณศาลา พลางทรงนวดเท้าทั้งสองของฤๅษีแล้วตรัสถามว่า พระผู้เป็นเจ้าไม่สบายไปหรือ ซึ่งพระฤๅษีก็ทูลว่า ท่านต้องการพระนางมุทุลักขณา พระราชาก็รับสั่งว่า พระองค์ทรงยินดีถวายพระนางมุทุลักขณาแก่พระฤๅษี และทรงพาพระฤๅษีเข้าไปในพระราชวัง ให้พระนางมุทุลักขณาประดับพระองค์งามพร้อมแล้วพระราชทานแก่ฤๅษี แต่เมื่อจะพระราชทานนั้น พระองค์ได้ทรงให้สัญญาลับแก่พระนางมุทุลักขณาว่า ให้พระนางพยายามรักษาพระองค์ให้พ้นจากฤๅษี ซึ่งพระนางก็ทรงรับสัญญานั้น
เมื่อฤๅษีพาพระนางลงจากพระราชวัง กำลังจะออกประตูใหญ่ พระนางก็ตรัสกับพระฤๅษีว่า ท่านเจ้าคะ เราควรจะได้เรือน แล้วก็ให้ฤๅษีไปกราบทูลขอพระราชทานเรือนสักหลังหนึ่ง พระราชาก็ได้พระราชทานเรือนร้างให้หลังหนึ่ง ซึ่งเรือนร้างนั้นมนุษย์ใช้เป็นที่ถ่ายทุกข์ ฤๅษีพาพระนางไปที่เรือนนั้น แต่พระนางไม่ทรงประสงค์จะเข้าไป พระฤๅษีก็ทูลถามว่า เหตุไรจึงไม่เสด็จเข้าไป พระนางก็รับสั่งว่า เพราะเรือนสกปรก ฤๅษีก็ทูลถามว่า บัดนี้เราควรจะทำอย่างไร พระนางก็รับสั่งว่า ต้องทำความสะอาดเรือนนั้น แล้วก็ให้ฤๅษีไปสู่ราชสำนัก เอาจอบ และตะกร้ามา ให้โกยสิ่งสกปรก และขยะไปทิ้ง ให้ขนเอาโคมัยสดมาฉาบไว้ ให้ขนเตียงตั่งมา ทีละอย่าง แกล้งใช้ให้ตักน้ำจนเต็มตุ่ม เตรียมน้ำอาบ ปูที่นอน และทรงจับฤๅษีผู้กำลังนั่งร่วมกันบนที่นอนฉุดให้ก้มลงมาตรงหน้าพลางตรัสว่า ท่านไม่รู้ตัวว่า เป็นสมณะหรือเป็นพราหมณ์เลยหรือเจ้าคะ ฤๅษีก็กลับได้สติในเวลานั้นเอง แต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานั้นท่านไม่รู้ตัวเอาเสียเลย
นี่คือผู้ที่ได้สะสมปัญญามา เมื่อมีเหตุปัจจัยที่จะให้ระลึกได้ ก็ระลึกได้ และให้เห็นกำลังของกิเลสว่า
ขึ้นชื่อว่ากิเลสทั้งหลาย กระทำความไม่รู้ตัวได้ถึงอย่างนี้
นี่คือลักษณะของโมหเจตสิก ซึ่งเกิดกับอกุศลธรรมทุกประเภท ไม่ว่าในขณะนั้นจะเป็นโลภะ หรือโทสะ อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ ย่อมทำให้ไม่รู้ตัว ทำให้มืด
เมื่อฤๅษีกลับได้สติก็คิดว่า ตัณหานี้เมื่อเจริญขึ้น จักไม่ให้เรายกศีรษะขึ้นได้จากอบายทั้ง ๔ เราควรถวายคืนพระเทวีนี้แด่พระราชา แล้วท่านก็กลับเข้าสู่ป่า หิมวันต์ในวันนี้ทีเดียว
เมื่อท่านถวายคืนพระเทวีแด่พระราชานั้น ท่านกล่าวคาถานี้ ความว่า
ครั้งเรายังไม่ได้พระนางมุทุลักขณาเทวี เกิดความปรารถนาเพียงอย่างเดียว แต่เมื่อได้พระนางมุทุลักขณาผู้มีดวงตางามแล้ว ได้เกิดความปรารถนาสิ่งต่างๆ ขึ้นอีก
ตอนแรกที่ไม่ได้พระนางมุทุลักขณา ก็มีแต่ความอยากได้เพียงอย่างเดียว แต่เมื่อได้แล้ว โดยที่พระราชาพระราชทานให้ ท่านก็ต้องปรารถนาเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง เช่น ปรารถนาเรือน ปรารถนาเครื่องอุปกรณ์ ปรารถนาเครื่องอุปโภค และต่อๆ ไป ไม่มีวันจบสิ้น ซึ่งทุกคนที่มีความปรารถนาอย่างนี้ก็รู้ว่า เป็นเหตุให้เกิดความปรารถนาอื่นต่อๆ ไปอีก
และทันใดนั้นเอง ฤๅษีก็ทำฌานที่เสื่อมให้บังเกิดขึ้น นั่งในอากาศ แสดงธรรม ถวายโอวาทแด่พระราชา แล้วไปสู่ป่าหิมพานต์ทางอากาศทันที ไม่มาสู่ประเทศที่ ชื่อว่าเป็นถิ่นของมนุษย์อีกเลย แต่เจริญพรหมวิหาร ไม่เสื่อมจากฌาน บังเกิดในพรหมโลกแล้ว
พระผู้มีพระภาคครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประกาศสัจธรรม เมื่อจบสัจจะ ภิกษุผู้เป็นเหตุให้ตรัสชาดกนี้บรรลุพระอรหันต์ พระผู้มีพระภาคทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นพระอานนท์ในครั้งนี้ มุทุลักขณาได้มาเป็นอุบลวรรณา ส่วนฤๅษีได้มาเป็นเราตถาคต ฉะนี้แล
จบ อรรถกถามุทุลักขณชาดกที่ ๖
เวลาที่ฟังสัจธรรมแล้ว รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ไหม หรือฟังแล้วมีบัญญัติเป็นอารมณ์ สติปัญญาไม่สามารถเกิดได้ ถ้าคิดอย่างนี้ จะไม่ตรงกับความจริง และไม่ตรงกับข้อความในพระไตรปิฎก ซึ่งเมื่อพระผู้มีพระภาคทรงประกาศสัจธรรมจบ ภิกษุผู้เป็นเหตุให้ตรัสชาดกนี้บรรลุพระอรหันต์ และคนอื่นๆ ที่ฟัง สติก็สามารถที่จะเกิดระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นได้
เพราะฉะนั้น จากเรื่องนี้ เป็นคติเตือนใจให้ทุกคนได้พิจารณาชีวิตของแต่ละท่านในวันหนึ่งๆ ในแต่ละเหตุการณ์ว่า เป็นโยนิโสมนสิการ หรือเป็นอโยนิโสมนสิการ นี่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก อย่าละเลย และคิดว่า จะเพียงแต่เจริญสติปัฏฐานเท่านั้น
การพูด การทำ ทุกอย่างแม้การคิด ถ้าเป็นผู้ที่สะสมเหตุปัจจัยมา ย่อมจะพิจารณาได้ว่า ขณะนี้ถูกหรือผิด ควรหรือไม่ควร ถ้าพิจารณาอย่างนี้บ่อยๆ ก็หมายความว่า สะสมเหตุปัจจัยที่จะเกิดกุศล ขณะใดที่กุศลจิตเกิด ไม่ใช่เรา แต่เป็นโยนิโสมนสิการ การพิจารณาโดยแยบคาย
ขณะใดที่อกุศลเกิด ไม่ว่าจะเป็นอกุศลประเภทใดทั้งสิ้น จะเป็นทางกาย หรือทางวาจา หรือแม้แต่การคิดในใจ ขณะนั้นคืออโยนิโสมนสิการ ซึ่งจะสะสมสืบต่อไปในสังสารวัฏฏ์ทำให้มีการคิด การพูด การกระทำต่างๆ ต่อไปอีกในอนาคตข้างหน้า
ที่มา ...