ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามลำดับจริงๆ เพื่อไม่หลง


    อีกประการหนึ่ง ธรรมเป็นเรื่องที่เมื่อเข้าใจแล้ว จะละความสงสัย และความไม่รู้ แต่ไม่เป็นสมุจเฉท เพราะว่าไม่ใช่ปัญญาระดับขั้นที่ประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมจนกระทั่งถึงความเป็นพระโสดาบัน ขณะนี้เรากล่าวได้ว่าเป็นนามธรรม เป็นรูปธรรม แต่ลักษณะของนามธรรมไม่ได้ปรากฏ เพราะถ้าปรากฏเมื่อไร ก็จะรู้ความต่างกันของปัญจทวารกับมโนทวาร เพราะธรรมะที่เป็นนามธรรมต้องปรากฏทางมโนทวารเท่านั้น นี่ก็แสดงว่า เพียงฟัง แล้วเราจะไปประมวลคิดเอาเองว่า ตอนนี้กระทบสัมผัสเบาๆ ก็เป็นวิการรูปนั้นไม่ได้ ต้องเป็นเรื่องที่ละเอียด และเป็นเรื่องที่ตรงที่จะรู้ว่า เราไม่ใช่เอาชื่อไปจำ ไปคิดว่าใช่ แต่ลักษณะของสภาพธรรมที่ต่างกันปรากฏเมื่อไร ปรากฏได้อย่างไร ปรากฏทางไหน ปรากฏกับอะไร เพราะว่าสติสัมปชัญญะเป็นอนัตตา ไม่ใช่เราเลือกที่จะไปรู้ลักษณะของวิการรูป เป็นไปไม่ได้เลยที่จะเลือกให้สติเกิดรู้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา หรือเสียงที่ปรากฏทางหู แล้วแต่ว่าเมื่อเกิดเมื่อไร สติเกิดแล้วระลึกแล้ว ไม่มีใครไปจัดการ ไม่มีใครไปจัดแจงให้สติไประลึกที่ตรงนั้น ตรงนี้ ฉันใด ที่จะให้สติไปเลือกรู้วิการรูปก็เป็นไปไม่ได้ ต้องเข้าใจให้ถูกต้องตามลำดับจริงๆ เพื่อไม่หลง เพราะเหตุว่าแม้แต่ลักษณะของธาตุดิน ก็มีทั้งอ่อนมาก บางคนอาจจะเรียกว่า เบา อย่างที่มีคนกล่าวเมื่อสักครู่ ที่คุณธีรพันธ์กล่าวว่า สำลีเบาไหม แล้วเราก็ได้ยินคำว่า เบา แล้วเป็นวิการรูป หรือเปล่า นี่ก็เป็นสิ่งซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินคำ ขั้นนี้เราเข้าใจ เพราะเรารู้ว่า วิการรูปเป็นอาการวิการของธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม แต่สำหรับรูปที่เบาที่เป็นธาตุดิน ก็จะเบาได้จนกระทั่งถึงสำลี แต่ไม่ใช่วิการรูป เพราะฉะนั้นถ้าจะปรากฏกระทบเมื่อไร ไม่ใช่เมื่อปรากฏลักษณะนั้น เราก็สรุปประมวลว่า เรารู้วิการรูป ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ต้องเป็นอาการที่ต่างจากมหาภูตรูป โดยมีวิการ อาการที่เบา หรืออ่อน หรือควรแก่การงานของมหาภูตรูปที่จะปรากฏให้รู้ได้ทางมโนทวาร


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 370


    หมายเลข 12988
    31 ส.ค. 2567