ขณะที่ปีติเกิด นับว่าสติเกิดได้ หรือไม่
คุณอุไรวรรณ ขออนุญาตถามทีละข้อจากจดหมายนี้
ข้อ ๑ การที่บางครั้งเราเกิดปีติ เมื่อระลึกถึงสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นความดี น่าเลื่อมใส ในขณะที่ปีติเกิด นับว่าสติเกิดได้ หรือไม่ เพราะเข้าถึงสภาพปรมัตถธรรม
ท่านอาจารย์ ไม่ได้เลย เพราะเหตุว่าไม่ใช่ความรู้ของตัวเอง และจะถามคนอื่นว่า ขณะนั้นเป็นสติใช่ไหม ก็แสดงว่า คนนั้นไม่ได้เข้าใจเรื่องสภาพธรรม ถ้าเข้าใจแล้วต้องเป็นความรู้ความเข้าใจของตัวเอง แล้วก็รู้ว่า ขณะใดหลงลืมสติ ขณะใดสติปัฏฐานเกิด เพราะฉะนั้นก็คงต้องตอบสั้นๆ เพราะเหตุว่าถ้าได้ฟัง และได้อ่าน ก็ต้องคิดพิจารณาข้อความที่ได้ฟังจนกระทั่งเป็นความเข้าใจจริงๆ เพราะว่าบางคนก็จะอ่านธรรมะแบบอ่านตลอดเรื่อยไป แต่ไม่ได้คิดไตร่ตรองถึงความเข้าใจในสิ่งที่กำลังอ่าน หรือแม้ได้ยินได้ฟังเพียงคำเดียวให้ถ่องแท้ว่า แม้แต่คำว่า “ธรรมะ” ได้ยินแล้ว เข้าใจระดับไหน สามารถจะรู้ว่า ธรรมะเป็นธรรมะในขณะไหน เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจอย่างนี้จะไม่มีความสงสัยว่า ขณะนั้นเป็นสติปัฏฐาน หรือไม่ใช่สติปัฏฐาน คุณเข็มกรุณาทบทวนข้อความที่เขาเขียนนี้อีกครั้ง
คุณอุไรวรรณ ในขณะที่ปีติเกิด นับว่าสติเกิดได้ หรือไม่
ท่านอาจารย์ นับว่า อยากนับ และสติเกิดได้ หรือไม่ ไม่ใช่ความรู้ของตัวเองเลย ประโยชน์ของการศึกษาธรรมะจริงๆ คือ เป็นความเข้าใจถูก จะน้อยจะมากไม่สำคัญ แต่เป็นความเห็น ความเข้าใจของตัวเองซึ่งคนอื่นก็เปลี่ยนไม่ได้ ถ้าเป็นความเข้าใจถูก ถ้าจะบอกว่า ขณะนี้ไม่ใช่ธรรมะ แล้วคนที่เข้าใจธรรมะแล้ว จะเปลี่ยนไปตามคำของคนอื่นไหมว่า ขณะนี้ไม่ใช่ธรรมะ
เพราะฉะนั้นถ้ามีความเข้าใจจริงๆ เป็นความเข้าใจซึ่งคนอื่นเปลี่ยนไม่ได้ ไม่ใช่จะเปลี่ยนไปตามคำของคนอื่น หรือไม่ใช่ให้คนอื่นมานับว่าอันนี้นับเป็นอย่างนั้น อันนั้นนับเป็นอย่างนี้ ไม่ต้องนับ เพราะอะไร ความจริงเป็นความจริง ทำไมจะต้องไปนับว่า ถ้านับว่า ก็คือว่าไม่รู้ความจริง เพียงแต่คิดเท่านั้นเอง การศึกษาธรรมไม่ใช่มุ่งหวังอะไร ศึกษาเพื่อเข้าใจอย่างเดียว ไม่ใช่มุ่งหวังที่จะได้มีสติปัฏฐานเกิด มีปัญญาเกิด ได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม ซึ่งเป็นไปไม่ได้เลยถ้าไม่มีความเข้าใจในสิ่งที่กำลังได้ยินได้ฟังว่าเป็นธรรมะ
เพราะฉะนั้นก่อนอื่นต้องไม่ลืมว่า ทรงแสดงธรรมะเพื่อละ ไม่ใช่เพื่อให้ได้อะไรเลย แต่เพื่อละอกุศลธรรม เพื่อละความไม่รู้ ซึ่งเมื่อฟังแล้วก็จะรู้ได้ว่า ไม่รู้ในอะไร กำลังเห็นนี่ตอบได้แล้ว รู้จริง หรือไม่ ถึงสภาพธรรม หรือยัง นี่ก็แสดงให้เห็นว่า ถ้ายังไม่มีความเข้าใจจริงๆ ก็อาจจะเข้าใจว่า มีวิธี หรือมีหนทาง หรือเกิดการรู้ลักษณะของสภาพธรรมแล้ว แต่ให้ทราบว่า ไม่ต้องคิดถึงสติปัฏฐาน ไม่ต้องคิดถึงผลใดๆ ทั้งสิ้น แต่กำลังฟัง แล้วมีสภาพธรรมที่กำลังปรากฏให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
คุณอุไรวรรณ คุณวิชัยจะมีความเห็นเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
อ.วิชัย ขณะนี้ก็มีสภาพที่เป็นกุศลที่เกิดพร้อมกับสติที่ระลึกได้ แต่ว่าขณะจิตเกิดดับอย่างรวดเร็วมาก เกิดทั้งกุศลธรรม มีการเห็น มีการได้ยิน อาจจะสลับกับอกุศลธรรมก็ได้ ขณะที่อาจจะคิดถึงเรื่องอื่น มีความกังวล หรือมีความพอใจในสิ่งต่างๆ ที่จิตเกิดขึ้น ดังนั้นความรวดเร็วของจิต ขณะนั้นจิตก็เป็นไปแล้ว แต่ขณะที่ฟังแล้วเข้าใจ เริ่มที่จะมีการสั่งสมที่จะเข้าใจในสิ่งที่ได้ยินได้ฟัง อย่างเช่นฟังเรื่องของสภาพธรรม ขณะที่ไม่ฟัง คิดถึงเรื่องอื่น คิดถึงเรื่องที่เป็นไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และเรื่องราวต่างๆ แต่ขณะที่ฟังเรื่องของสภาพธรรม ขณะนั้นน้อมไปที่จะเข้าใจ สังขารขันธ์ก็ปรุงแต่งเริ่มที่จะเข้าใจ ขณะนั้นก็มีสติแล้วที่เกิดขึ้นพร้อมกับปัญญาที่เข้าใจในสภาพธรรมแม้ในขณะนี้ ทราบ หรือไหมว่า ขณะนี้มีสติเกิดไหม
เพราะฉะนั้นโดยสภาพของสติเกิดแล้วก็ดับอย่างรวดเร็ว แต่ขณะที่สติไม่ปรากฏ ก็คือยังไม่ปรากฏ แต่ความรวดเร็วของจิตก็เกิดแล้ว ดับแล้ว เป็นไปแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าไม่ทราบว่า เป็นสติไหม หรือไม่ใช่สติ ความเข้าใจยังไม่เพียงพอ เพราะเหตุว่าถ้าปัญญาเกิด ก็ต้องรู้ในขณะนั้นว่าสติเกิด หรือปัญญาเกิดเข้าใจ นี่ก็เป็นความรวดเร็วของจิตที่เป็นไป
ที่มา ...