เป็นผู้ที่ละเอียด ไม่ผ่าน และไม่ข้ามแต่ละคำ


    ผู้ฟัง ขอให้ท่านอาจารย์ขยายความที่ว่า การจะศึกษาพระไตรปิฎกจะต้องมีพื้นฐานพระอภิธรรมที่เข้าใจอย่างมากๆ อย่างลึกซึ้ง จึงจะทำให้ศึกษาพระไตรปิฎก ถึงแม้จะเป็นพระสูตร โดยที่ไม่เข้าใจผิด หรือไม่เข้าใจ

    ท่านอาจารย์ ก็เป็นผู้ที่ละเอียด ไม่ผ่าน และไม่ข้ามแต่ละคำ ซึ่งก็คงจะยกตัวอย่างบ่อยๆ คือคำว่า “ธรรม” คำเดียว ถ้าเข้าใจจริงๆ ถึงความเป็นพระอรหันต์ เพราะทุกอย่างเป็นธรรม แต่ละคำจริงแต่ว่าปัญญาสามารถเข้าถึงความจริงนั้นได้ระดับไหน ระดับเพียงฟังแล้วก็เข้าใจ แต่ว่าตัวธรรมะที่กำลังปรากฏเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ตรงนี้ยังไม่ได้เข้าใจ เพราะฉะนั้นการอ่านพระไตรปิฎก และเข้าใจถูกต้องขึ้นทีละเล็กทีละน้อย ก็จะรู้ว่า ไม่มีใครที่สามารถเข้าใจทั้งหมดในพระไตรปิฎกได้โดยแจ่มแจ้ง จะเข้าใจเพียงบางส่วน เพราะว่าพระไตรปิฎกคืออะไร คำสอนจากการตรัสรู้ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงไว้โดยละเอียด โดยประการทั้งปวง

    เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าใจธรรมะก็คือ เป็นผู้รู้จักตัวเองตามความเป็นจริง ตั้งแต่เริ่มฟังว่า มีความรู้ความเข้าใจธรรมะที่ได้ยินได้ฟังแค่ไหน หรือเพียงแต่ได้ยินแล้วก็รู้ว่าจริง และมีสิ่งที่ปรากฏตามความเป็นจริงที่ได้ฟังด้วย แต่ว่ายังไม่ถึงกาละที่สามารถประจักษ์ถึงความจริงนั้น ซึ่งสามารถจะประจักษ์ได้ เพราะฉะนั้นก็เป็นผู้มีศรัทธาที่จะเห็นประโยชน์ของการได้เข้าใจธรรม เพราะเหตุว่าจริงๆ แล้วเกิดมามีอะไรที่ประเสริฐกว่าการที่จะรู้ความจริง ซึ่งเป็นการรู้จักชีวิต รู้จักทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะไม่ว่าเราจะคิดถึง หรือกล่าวถึงสภาพธรรม เหตุการณ์ใดๆ ทั้งหมดก็เป็นเรื่องทั้งนั้น วันนั้นคนนั้นทำอย่างนี้ วันนี้ทรัพย์สมบัติหายไป วันนั้นมีโจรผู้ร้าย มีพายุ มีน้ำท่วม แต่ความจริงแท้คืออะไร ไม่ใช่เป็นแต่เพียงเรื่องราว ถ้าไม่มีสภาพธรรมซึ่งเกิดดับตั้งแต่เริ่มเกิด เมื่อเกิดดับสืบต่อมากขึ้น ก็ถึงภาวะของความชรา คือ สิ่งที่เกิดดับสืบต่อก็จะต้องมีความชราแวดล้อม จริงๆ ก็คือทุกขณะ แล้วก็มีการเจ็บ มีใครบ้างที่จะพ้นจากความเจ็บ แล้วสุดท้ายมีใครบ้างที่พ้นจากความตาย

    เพราะฉะนั้นถ้าสามารถเข้าใจจริงๆ ว่า ชีวิตไม่มีอะไร นอกจากเกิดมาแล้วก็มีการเห็นบ้าง ได้ยินบ้าง คิดนึกเรื่องสิ่งต่างๆ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง แล้วก็คือตาย แต่ก่อนจะตาย ก็สามารถจะเห็นความจริงได้ว่า ไม่ต้องถึงตาย เพียงแค่หลับ ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ทรัพย์สมบัติทั้งหลาย กำลังหลับมีไหม เพราะฉะนั้นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่ของใคร เป็นแต่เพียงธรรมะซึ่งเป็นปัจจัยให้มีธาตุรู้เกิดขึ้น เห็นสิ่งนั้นแล้วก็หมดไปทุกขณะ ซึ่งไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่สามารถถือธรรมะหนึ่งธรรมะใดว่าเป็นเราได้เลย และไม่มีใครพ้นจากเกิด และตาย เพราะฉะนั้นก็คือแค่นี้ และประโยชน์สูงสุด ก็คือจะมีความเห็นถูกในสภาพธรรมซึ่งสั้นมาก ถ้าจะคิดว่าเกิดมาอายุไม่เท่าไรก็ตาย แต่สั้นกว่านั้นอีก คือ สามารถที่จะรู้ความจริงว่า แต่ละขณะก็เหมือนกับการจากไปด้วยความตาย คือ สิ่งที่ปรากฏในขณะนี้ปรากฏแล้วไม่กลับมาอีกเลย เพราะฉะนั้นก็เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ เพราะจากโลกนี้ไป จะไปด้วยความติดข้องมากมายในทุกสิ่งทุกอย่าง และความไม่รู้ต่อๆ ไป หรือว่ายังสามารถที่จะรู้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีการบังคับบัญชาได้เลย อะไรจะเกิดขึ้นในชีวิต ตอนเกิดมาเป็นเด็ก มีใครรู้ไหมว่า ชีวิต ณ บัดนี้ วันนี้จะเป็นอย่างนี้ ไม่มีเครื่องหมายอะไรที่จะแสดงล่วงหน้าเลย แต่ก็มีปัจจัยพร้อมที่จะเป็นไป แต่ละชีวิตต่างกันมาก แม้แต่ความคิดแต่ละขณะในขณะนี้ ฟังด้วยกัน ความคิดที่เกิดจากการฟังต่างกันไปอีกเท่าไร และมีคนอีกเท่าไร เพราะฉะนั้นความวิจิตรของธรรมมากมายมหาศาล จากขณะหนึ่งไปอีกขณะหนึ่ง ซึ่งก็เป็นเพียงธรรมะ ถ้าเข้าถึงความเป็นธรรมะ จะยังคงต้องการเห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรสต่อไปอีก หรือว่ารู้ว่า ก็แค่ธรรมเกิดขึ้นแล้วก็หมดไปเท่านั้นเอง


    ที่มา ...

    พื้นฐานพระอภิธรรม ตอนที่ 370


    หมายเลข 12992
    31 ส.ค. 2567