สุพรหมสูตร - จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์


    ถ้าเป็นผลของกุศลกรรม ย่อมทำให้ได้รับกระทบกับอารมณ์ที่ น่าพอใจทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย แต่ก็ไม่เที่ยง เพียงชั่วขณะเล็กน้อยที่ได้รับผลของกุศลกรรม และหมดไป และต้องได้รับผลของอกุศลกรรม เมื่อถึงโอกาสที่อกุศลกรรมจะให้ผล

    ใน สารัตถปกาสินี อรรถกถา สังยุตตนิกาย สคาถวรรค สุพรหมสูตร มีข้อความว่า

    ได้ยินว่า เทพบุตรนั้นอันเหล่าเทพอัปสรห้อมล้อมแล้ว ไปยังสนามกีฬานันทวัน

    นี่เป็นที่เพลิดเพลินมากในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งใครๆ ก็ย่อมจะไปเที่ยวไม่ว่า ในโลกมนุษย์หรือในสวรรค์ และที่เที่ยวของโลกมนุษย์ที่น่าเพลิดเพลิน มีอิฏฐารมณ์ ทางตา ทางหู ก็อย่างหนึ่ง แต่บนสวรรค์ ที่เที่ยวที่เพลิดเพลิน ก็เป็นสวนนันทวัน

    เทพบุตรนั้นนั่งในอาสนะที่จัดไว้ใต้โคนต้นปาริฉัตร เหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ก็นั่งล้อมเทพบุตรนั้น เหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ก็ปีนขึ้นต้นไม้

    ท่านที่อยากจะคิดคำนวณว่า สวรรค์กว้างใหญ่สักเท่าไร ซึ่งต้นไม้แต่ละต้น สูง ๕๐๐ โยชน์ พิสูจน์ได้เมื่อถึงที่นั่น ไม่ใช่ที่นี่

    ถามว่า ก็ต้นไม้แม้สูง ๑๐๐ โยชน์ ก็น้อมลงมาถึงมือด้วยอำนาจจิตของเหล่าเทวดา มิใช่หรือ

    นี่คือความสุขในสวรรค์ ไม่ต้องลำบากเลย ต้องการดอกไม้ ต้นไม้ก็น้อมกิ่ง ลงมา เพราะฉะนั้น ก็มีคำถามว่า เหตุไรเทพธิดาเหล่านั้นจึงต้องปีนขึ้นเล่า น่าสงสัยใช่ไหม อยู่บนสวรรค์แล้วยังสนุก มีเรื่องที่จะต้องสนุกตามที่เคยสนุกในสังสารวัฏฏ์

    ตอบว่า เพราะเทพธิดาเหล่านั้นสนใจแต่จะเล่น

    อยู่เฉยๆ ไม่เป็น ในโลกมนุษย์นี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีใครที่นั่งเฉยๆ อยู่เฉยๆ ทุกคนแสวงหาที่เที่ยว ที่จะสนุก แม้จะขึ้นไปอยู่บนสวรรค์ก็สนใจแต่จะเล่น

    แต่ครั้นปีนขึ้นไปแล้ว ก็ขับเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ ทำดอกไม้ทั้งหลายให้หล่นลง

    ในขณะนี้ บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ย่อมมีเทพธิดาซึ่งกำลังทำอย่างนี้อยู่ คนละโลก

    เหล่าเทพธิดานอกนี้ (ที่ไม่ได้ปีนขึ้นเก็บดอกไม้) ก็เก็บดอกไม้เหล่านั้นเอามาร้อยทำเป็นพวงมาลัยขั้วเดียวกัน เป็นต้น ครั้นนั้น เหล่าเทพธิดาที่ปีนขึ้นต้นไม้ก็ทำ กาละ (จุติ) ด้วยอำนาจอุปัจเฉทกกรรมประหารครั้งเดียวเท่านั้น ไปบังเกิดในอเวจีนรก เสวยทุกข์ใหญ่

    สำหรับอุปัจเฉทกกรรมหรืออุปฆาตกกรรมย่อมมีในมนุษย์ และในสวรรค์ บางเหล่า กับเทพธิดาหรือเทพบุตรบางพวก เพราะฉะนั้น เทพธิดาที่กำลังปีนต้นไม้เล่น และขับเพลงด้วยเสียงอันไพเราะ ทำดอกไม้ทั้งหลายให้หล่นลง มีอุปัจเฉทกกรรมเกิดขึ้น ตัดรอนความสุขที่กำลังสุขอย่างยิ่งในสวนนันทวัน ไปเกิดในอเวจีนรก เสวยทุกข์ใหญ่ ไม่มีใครทำได้นอกจากกรรม ขณะไหนเมื่อไรย่อมได้ทั้งสิ้น ซึ่งทุกคนควรจะเห็นว่า สิ่งซึ่งไม่คาดฝันว่าจะเกิด กรรมก็ยังกระทำให้เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ประจำวัน อุบัติเหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้น ก็ย่อมเป็นไปตามกรรมทั้งสิ้น

    เมื่อเวลาล่วงไป เทพบุตรก็นึกรำพึงว่า ไม่ได้ยินเสียงเทพธิดาเหล่านั้น ดอกไม้ก็ไม่หล่น เขาไปไหนกันหนอ ก็เห็นว่าไปเกิดในนรก เกิดรันทดใจเพราะความโศกในของรัก จึงดำริว่า ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เหล่าเทพธิดาก็ไปตามกรรม

    คือ ยังเห็นกันหลัดๆ ยังสนุกสนาน ยังเพลิดเพลิน ยังขับเพลง แต่ว่าเพียงอุปัจเฉทกกรรม ด้วยเหตุเพียงเท่านี้เหล่าเทพธิดาก็ไปตามกรรม

    ตัวเราจะมีอายุสังขารเท่าไรกันเล่า เทพบุตรนั้นดำริว่า ในวันที่ ๗ เราก็จะพึงทำกาละพร้อมกับเหล่าเทพธิดา ๕๐๐ ส่วนที่เหลือ พากันไปเกิดในนรกนั้นเหมือนกัน รันทดระทมเพราะความโศกที่รุนแรง เทพบุตรนั้นก็ดำริว่า ในมนุษยโลกพร้อมทั้ง เทวโลก นอกจากพระตถาคตแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถดับความโศกของเรานี้ได้ จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค กล่าวคาถา

    ตามข้อความในสุพรหมสูตร ซึ่งมีข้อความว่า

    สุพรหมเทวบุตรยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

    จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์

    ทุกคนลองพิจารณาดูว่า ถ้าเห็นอย่างนี้จะสะดุ้งสักแค่ไหน

    ใจนี้หวาดเสียวอยู่เป็นนิตย์

    ถ้าเห็นนรกจริงๆ จะรู้ว่าอกุศลกรรมทั้งหลายไม่ควรกระทำเลย เพราะจะต้องได้รับผลที่เป็นทุกข์มาก

    เทพบุตรกราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

    จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้หวาดเสียวอยู่เป็นนิตย์ ทั้งเมื่อกิจไม่เกิดขึ้น ทั้งเกิดขึ้นแล้วก็ตาม ถ้าความไม่สะดุ้งกลัวมีอยู่ ข้าพระองค์ทูลถามแล้ว โปรดตรัสบอกความไม่สะดุ้งนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด

    ข้อความที่ว่า จิตนี้สะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ใจนี้หวาดเสียวอยู่เป็นนิตย์ ทั้งเมื่อกิจไม่เกิดขึ้น ทั้งเกิดขึ้นแล้วก็ตาม กิจที่ไม่เกิดขึ้น คือ จุติกิจที่ยังไม่เกิดขึ้น สำหรับทุกท่านในขณะนี้ คือ กิจที่ยังไม่เกิดขึ้น เห็น กำลังเห็น เป็นกิจหนึ่งของจิตที่กำลังเกิดอยู่ ได้ยิน ขณะที่กำลังได้ยินก็เป็นกิจที่เกิดขึ้น แต่ว่ากิจหนึ่งซึ่งยังไม่เกิดในภพนี้ในชาตินี้ คือ จุติกิจ กิจสุดท้ายที่จะทำให้เคลื่อนพ้นจากสภาพความเป็นบุคคลนี้

    เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า ใจนี้หวาดเสียวอยู่เป็นนิตย์ ทั้งเมื่อกิจไม่เกิดขึ้น คือ จุติกิจของตนเองยังไม่เกิด ทั้งเกิดขึ้นแล้วก็ตาม คือ จุติจิตของคนอื่นที่เกิดแล้ว ซึ่งมองเห็นอยู่ชัดๆ ว่าหนีไม่พ้น จะต้องเกิดขึ้นแน่นอน แต่เมื่อเห็นจุติของคนอื่น ก็คือ จุติจิตของคนอื่นเกิดขึ้นแล้ว กิจนั้นของบุคคลนั้นเกิดขึ้นแล้ว แต่สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ เป็นกิจที่ยังไม่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้น เมื่อมีความหวาดเสียว มีความสะดุ้งอยู่เป็นนิตย์ ก็กราบทูลว่า โปรดตรัสบอกความไม่สะดุ้งนั้นแก่ข้าพระองค์เถิด

    มีหนทางไหมที่จะพ้นจากความสะดุ้ง ความหวาดเสียว ก็มีหนทางเดียว ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    เรายังมองไม่เห็นความสวัสดีแห่งสัตว์ทั้งหลาย นอกจากปัญญา และความเพียร นอกจากความสำรวมอินทรีย์ นอกจากความสละวางทุกสิ่งทุกอย่าง

    ซึ่งข้อความในพระไตรปิฎก สุพรหมสูตร ตอนท้ายมีว่า

    สุพรหมเทวบุตรเมื่อกล่าวดังนี้แล้ว ก็อันตรธานไปในที่นั้นเอง

    และข้อความในอรรถกถามีว่า

    เมื่อจบธรรมเทศนา เทพบุตรนั้นก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล

    แสดงให้เห็นว่า หลงลืมสตินานมากไหม ระหว่างที่อยู่ที่สวนนันทวัน กำลังเพลิดเพลิน ฟังเพลงขับ และดูดอกไม้ที่กำลังร่วงหล่นลงมา แต่เมื่อได้ฟังพระธรรม ก็ระลึกได้ นี่คือผลของสะสมกุศลที่จะทำให้ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าได้ฟังบ่อยๆ และระลึกบ่อยๆ จนกระทั่งชิน จนกระทั่งชำนาญ ถึงแม้ว่าจะเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีเวลาที่จะเพลิดเพลินมากมาย แต่เพียงได้ฟังพระธรรมเทศนาให้สำรวมอินทรีย์ คือ ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ในขณะนั้นนั่นเองย่อมระลึกได้ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจถูก และได้สะสมอบรมอุปนิสัยมาเป็นอันมาก ก็ทำให้สภาพธรรมปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริงได้ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นปัญญา และความเพียร ไม่ใช่เพียงแต่เข้าใจ แต่ต้องมีการสะสมอบรมระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏจนกระทั่งรู้แจ้งชัดจริงๆ

    ทางตาในขณะนี้ ระลึกบ้างหรือยัง ถ้ายัง ต้องระลึกไปเรื่อยๆ อย่าประมาทว่า เมื่อไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ที่สวนนันทวัน ได้ฟังนิดเดียวก็จะได้รู้แจ้งอริยสัจธรรม

    สำหรับผู้ที่สั่งสมอุปนิสัยมาที่ยังไม่ควรจะรู้แจ้งอริยสัจธรรม ย่อมไม่สามารถประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมแม้ที่กำลังปรากฏอยู่ เมื่อไรจะเห็นแก้วน้ำที่วางอยู่เป็นแต่เพียงรูปารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา ตามความเป็นจริง ทุกคนต้องเป็น ผู้ที่ตรง เมื่อไรจะเห็นสิ่งที่กำลังปรากฏที่เห็นเป็นคน เป็นสัตว์ต่างๆ กำลังเคลื่อนไหว กำลังยืนบ้าง กำลังนั่งบ้าง กำลังนอนบ้าง กำลังพูดบ้าง เหล่านี้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ซึ่งความจริงก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ลองคิดดู จนกระทั่งหยั่งลงไปถึงว่า ลักษณะจริงๆ ที่เป็นเพียงสภาพธรรมที่ปรากฏทางตา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตนนั้น คือ อย่างนี้ ในขณะนี้เอง

    แต่ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ไม่ระลึกบ่อยๆ ก็ยังคงสงสัยอยู่นั่นเองว่า สภาพธรรมที่เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นเป็นได้อย่างไร ในเมื่อขณะนี้เป็นแก้วน้ำอยู่ แสดงให้เห็นว่า กว่าสติ และปัญญาจะเจริญขึ้น ต้องอาศัยกาลเวลา ทั้งปัญญา และความเพียรจริงๆ

    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1295


    หมายเลข 13020
    20 ส.ค. 2567