ศึกษาธรรมโดยเอาตัวเองเป็น บรรทัดฐาน


    อ.นิภทร สมัยนี้คนศึกษาพระพุทธศาสนาโดยเอาตัวเองเป็นบรรทัดฐาน คือ ถ้าสิ่งไหนที่ตัวเองไม่เข้าใจจะเห็นว่าหลักฐานต่างๆ นั้นไม่สามารถจะเป็นไปได้ ผม เคยสนทนากับพวกเด็กหนุ่มๆ อายุไม่เกินวัยเบญจเพส เขาบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์สาวกจะมีฤทธิ์สามารถเหาะเหินเดินอากาศ หรือเดิน บนน้ำ ดำไปในดิน เพราะไม่มีทางพิสูจน์ได้ ไม่เหมือนอย่างวิทยาศาสตร์ซึ่งเขาสามารถจะพิสูจน์ได้ ท่านผู้เขียนจดหมายมาก็เป็นอีกคนหนึ่งซึ่งมีความเห็นเหมือนอย่างพวกเด็กๆ ที่ผมเคยสนทนาด้วย เพราะเขาศึกษาธรรมโดยเอาตัวเองเป็น บรรทัดฐาน ไม่ได้ศึกษาธรรมโดยเอาพระพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเป็นบรรทัดฐาน

    ในเรื่องนี้ ผมเองแม้ไม่ได้บรรลุมรรคผล หรือไม่ได้ฌาน แต่ผมมีความเชื่อมั่นจริงจังว่า อิทธิปาฏิหาริย์ในพระพุทธศาสนานั้นมีได้จริงๆ แต่บุคคลผู้นั้นต้องบรรลุฌาน คือ รูปฌาน หรืออรูปฌาน ตามหลักฐานที่ปรากฏในตำรา ไม่ใช่เหมือนอย่างสมัยนี้ที่มีผู้บรรลุฌานเยอะแยะ มีฌาน ๑ ฌาน ๒ วสี ๑ วสี ๒ ซึ่งทำประเดี๋ยวเดียวก็ได้แล้วเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน บางทีก็สามารถดักใจคนอื่นได้ กระผมก็เคยสนทนาด้วย ฌานของบุคคลพวกนี้เรียกว่า ฌานลืมตา หมายความว่า เวลาที่เป็นฌานจิตก็ยังสามารถรู้เรื่องอะไรต่างๆ ได้ แต่ความจริงไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะถ้าจิตที่เป็นฌานจิตเกิดขึ้นแล้ว จะไม่รู้เรื่องอะไรทางตา หู จมูก ลิ้น กายเลย จะมีอารมณ์ดิ่งอยู่เฉพาะแต่ทางมโนทวารเท่านั้น แต่ฌานสมัยนี้ก็มีแพร่หลายเหลือเกิน เดี๋ยวนี้ที่กำลังเผยแพร่กันอยู่ ผมเห็นว่าเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง

    การที่บุคคลใดก็ตามมีความเห็นค้านที่อาจารย์บรรยาย ผมเห็นว่า แทนที่จะเข้าใจคนอื่นว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ตัวเขาเองนั่นแหละเป็นมิจฉาทิฏฐิอย่างมหันต์ และรู้สึกว่า จะชักจูงเข้ามาในทางพระพุทธศาสนาให้ถูกต้องได้ยากอย่างยิ่ง


    ที่มา อ่าน และฟังเพิ่มเติม

    เรื่องของอิทธิปาฏิหาริย์


    หมายเลข 13071
    13 ก.ย. 2567