ช่วยยกตัวอย่างรูปทางใจ มีรูปอะไรที่จะรู้ได้บ้าง


    คำถามข้อ ๓. ขอความกรุณาคุณโยมอาจารย์ช่วยยกตัวอย่างรูปทางใจ มีรูปอะไรที่จะรู้ได้บ้าง

    แสดงว่า คงได้ฟังปริยัติมาพอสมควรจึงรู้ว่า มีรูปที่ปรากฏให้รู้ได้ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย รวม ๗ รูป เรียกว่า โคจรรูป คือ รูปซึ่งเป็นที่ไปของจิต ที่เป็นอารมณ์ของจิตในชีวิตประจำวัน

    ต้องการเห็น แสดงให้เห็นว่า ต้องการรูปทางตา เพราะฉะนั้น รูปทางตา เป็นโคจรรูป เป็นรูปที่ไปของจิต เป็นรูปที่จิตแสวงหา เป็นรูปที่จิตต้องการ ๑ รูป ทางตา

    ทางหู สัททรูป คือ เสียง ก็เป็นรูปที่จิตแสวงหา ขวนขวายต้องการ ปรากฏทางหู ๑ รูป

    ทางจมูก คือ กลิ่น ๑ รูป ทางลิ้น คือ รสต่างๆ ๑ รูป ทางกาย คือ โผฏฐัพพะ ๓ รูป ได้แก่ ธาตุดินอ่อนหรือแข็ง ๑ รูป ธาตุไฟเย็นหรือร้อน ๑ รูป ธาตุลม ตึงหรือไหว ๑ รูป รวมทั้งหมดรูปที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ๗ รูป

    ผู้ที่มีจักขุปสาท โสตปสาท ฆานปสาท ชิวหาปสาท กายปสาท จะต้องรู้จัก รูปเหล่านี้ เพราะกระทบสัมผัสปรากฏอยู่ตลอดเวลา คนที่มีตาต้องเห็นสิ่งที่ปรากฏ ทางตา คนที่มีโสตปสาทรูปต้องมีเสียงปรากฏ และโดยปริยัติทราบว่า เมื่อ ปัญจทวารวิถีทวารหนึ่งทวารใด มีอารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดดับไปแล้ว และภวังคจิต เกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตต้องเกิดก็ขึ้นรับรู้อารมณ์นั้นต่อ

    เพราะฉะนั้น รูปที่เป็นอารมณ์ทางใจ ไม่ใช่รูปอื่น นอกจากสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ จักขุทวารวิถีจิตดับหมดแล้ว ภวังคจิตคั่น มโนทวารวิถีจิตเกิดขึ้นรับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่ออย่างเร็วที่สุดจนกระทั่งแยกไม่ออกเลยว่า ในขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้ มโนทวารวิถีกำลังรับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อจากทางจักขุทวารวิถี

    ทางหู ในขณะที่ได้ยินก็เช่นเดียวกัน ขณะที่เสียงปรากฏกับโสตทวารวิถี และโสตทวารวิถีจิตดับหมดแล้วเมื่อเสียงดับ ภวังคจิตเกิดคั่น มโนทวารวิถีจิตก็เกิดขึ้น รับรู้เสียงต่อจากทางโสตทวารวิถี เพราะฉะนั้น รูปที่รู้ได้ทางใจไม่ต่างอะไรจาก สิ่งที่ปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

    มีใครรู้รูปอื่นนอกจากนี้ไหม ในวันหนึ่งๆ

    ถ้าไม่มี ไม่ต้องสนใจเลย เพราะว่ารูปอื่นนอกจากนี้ สามารถรู้ได้เฉพาะทางใจเท่านั้น ไม่ปรากฏทางตา ไม่ปรากฏทางหู ไม่ปรากฏทางจมูก ไม่ปรากฏทางลิ้น ไม่ปรากฏทางกาย

    ในวันหนึ่งๆ ใครรู้รูปอื่นนอกจากรูป ๗ รูปนี้บ้างทั้งๆ ที่มี เช่น จักขุปสาทรูป ทุกคนมี ถ้าจักขุปสาทรูปไม่เกิดก็ไม่เห็น ในขณะที่เห็นเดี๋ยวนี้มีจักขุปสาทรูป แต่ ใครรู้ลักษณะของจักขุปสาทรูป ซึ่งเป็นรูปที่สามารถรู้ได้ทางใจทางเดียว เพราะว่า มองไม่เห็นจักขุปสาทรูป ขณะใดที่เห็น ขณะนั้นไม่ใช่จักขุปสาทรูป ไม่ใช่รูปพิเศษที่มีลักษณะพิเศษที่สามารถกระทบกับสิ่งที่ปรากฏทางตา

    รูปารมณ์ คือ สิ่งที่ปรากฏทางตา แต่ไม่ใช่เห็นจักขุปสาทรูป ไม่ใช่เห็น โสตปสาทรูป ไม่ใช่เห็นฆานปสาทรูป ไม่ใช่เห็นชิวหาปสาทรูป ไม่ใช่เห็นกายปสาทรูป แต่รู้ว่ามี

    เพราะฉะนั้น รูปอื่นทั้งหมดรู้ได้เฉพาะทางใจ สำหรับผู้ที่สามารถจะรู้ได้ และเมื่อรูปนั้นๆ ปรากฏ แต่ถ้ารูปนั้นๆ ไม่ปรากฏ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางที่จะรู้ได้

    โดยการศึกษารู้ว่ามีรูปอื่น แต่ขณะที่รูปใดปรากฏ สติระลึก เพื่อรู้ลักษณะของรูปที่ต่างกับลักษณะของนามธรรม เพื่อละการยึดถือว่า มีสัตว์ มีบุคคล มีตัวตน ในขณะที่จิตซึ่งเป็นนามธรรมกำลังเห็นรูปซึ่งเป็นรูปธรรมทางตา ในขณะที่จิตกำลังได้ยินเสียงซึ่งเป็นรูปทางหู

    เพราะฉะนั้น ไม่ทราบว่าจะให้รู้รูปอะไร หรือต้องการที่จะรู้รูปอะไร อาจจะเคยได้ยินได้ฟังจากข้อปฏิบัติอื่นที่ว่า ให้รู้รูปอย่างนั้น รูปอย่างนี้ แต่รูปที่มีลักษณะจริงๆ ที่ปรากฏทั้ง ๖ ทวาร คือ ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ก็คือรูป ๗ รูปนี้เอง

    ถ้าขณะนี้ทางตาเห็น จะไปรู้รูปทางใจ รูปทางใจขณะนี้จะเป็นอะไร ก็ต้องเป็นสิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ถ้าขณะนี้กำลังได้ยินเสียง เสียงเป็นรูปที่ปรากฏทางหู ในขณะที่กำลังได้ยินเสียงนี้เอง อยากจะรู้รูปที่ปรากฏทางใจ ก็คือ เสียงนั้นแหละปรากฏทางใจต่อจากทางโสตทวารวิถีจิต ยังจะหารูปอะไรทางใจที่จะรู้อีก ในเมื่อ ทางตาเห็น ก็ควรจะรู้รูปที่ปรากฏทางตา และรู้ว่า รูปนี่แหละปรากฏทางใจด้วย ต่อจากทางปัญจทวารวิถี

    นี่เป็นเรื่องของการอยากรู้สิ่งที่ไม่ปรากฏหรือเปล่า ขวนขวาย พยายามรู้สิ่งที่ ไม่ปรากฏ แต่ไม่สนใจ สังเกต พิจารณารูปที่กำลังปรากฏ ถ้าเป็นโดยลักษณะนี้

    ยังห่วงรูปอะไรทางใจอีกไหม หรือเมื่อรูปใดปรากฏก็รู้รูปนั้น ให้รู้จริงๆ

    รู้จริงๆ คือ สภาพธรรมจะปรากฏโดยสภาพที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ซึ่งในขณะนี้สภาพธรรมแต่ละอย่างก็เป็นอย่างนั้น แต่ความเกิดดับสืบต่อกัน อย่างเร็วมาก และอวิชชาที่ไม่เคยสังเกต ไม่เคยพิจารณารู้ลักษณะของรูปแต่ละรูป ทำให้ไม่เห็นรูปเหล่านั้นว่า เป็นรูปแต่ละลักษณะซึ่งแยกขาดจากกัน และแต่ละรูปก็ ดับไปแล้ว ถ้าไม่พิจารณา ไม่มีรูปอะไรดับไปเลยในขณะที่กำลังเห็น ยังคงเห็นเหมือนเดิม เพราะฉะนั้น ให้ทราบว่า ถ้ายังเห็นอย่างนี้อยู่ก็ไม่ใช่สัมมาทิฏฐิ ที่เป็นความเห็นชอบในลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏ ซึ่งปัญญาจะต้องอบรมเจริญต่อไปอีก จนกว่าจะประจักษ์แจ้งลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ

    จะเป็นเวลาที่นานมากไหม หรือว่าอยากจะให้ได้ผลโดยรวดเร็ว

    มีสิ่งที่กำลังปรากฏ เพราะฉะนั้น ปัญญาเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า รู้ลักษณะของ สิ่งที่กำลังปรากฏมากน้อยแค่ไหน


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1524


    หมายเลข 13080
    14 ก.ย. 2567