เห็นสีเป็นรูป ส่วนการรู้ว่าเป็นสีแดง สีเขียว เป็นนาม ใช่หรือไม่


    ต่อไปปัญหาข้อที่ ๒

    เห็นสีเป็นรูป ส่วนการรู้ว่าเป็นสีแดง สีเขียว เป็นนาม ใช่หรือไม่

    เวลาพูดว่า เห็นสี หรือว่าเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แยกสีทิ้งไปได้ไหม คือ จักขุทวารวิถีที่กำลังเห็นในขณะนี้ สภาพธรรมพร้อมที่จะให้พิสูจน์ ขณะนี้กำลังเห็น มีสีเป็นสิ่งที่ถูกเห็น หรือว่าสิ่งที่ปรากฏทางตาไม่มีสีสันอะไรเลย และจะไปรู้สีแดง สีเขียวทีหลัง ตามความเป็นจริง สภาพธรรมพิสูจน์ได้

    เพราะฉะนั้น บางท่านอาจจะเข้าใจว่า เวลาที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้นทำทัสสนกิจ เพียงเห็น ไม่มีสีสันอะไรเลย อาจจะเข้าใจอย่างนั้น ซึ่งไม่ถูก เพราะว่าไม่ต้องพูดถึง คำว่าสี จะเป็นสีแดง สีเขียว สีน้ำตาล สีเหลือง สีอะไรก็แล้วแต่ แต่พูดถึงสิ่งที่ปรากฏทางตา เป็นของจริง สีอะไรก็ช่าง หรือว่าสีอะไรก็ได้ ถูกไหม สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา ไม่สนใจในสีสันเลยว่า เป็นสีเขียว สีแดง สีฟ้า สีน้ำเงิน แต่ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาจริงๆ ในขณะนี้

    การที่ปัญญาจะรู้ลักษณะของสภาพธรรม จะไขว้เขวไม่ได้ ต้องตรงลักษณะของสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ทางตาเห็นอย่างไร ทางใจก็รับรู้สิ่งที่ทางตาเห็นนั้นต่อ แล้วแต่ว่าจะมีการนึกถึงรูปร่างสัณฐานของสิ่งใด ก็นึกถึงสิ่งนั้น เพราะว่าในขณะนี้สิ่งที่กำลังปรากฏทางตา นับสีไม่ถ้วน ใช่ไหม สีที่เป็นสี่เหลี่ยมก็มี สีที่เป็น จุดกลมก็มี สีที่เป็นลวดลายต่างๆ ก็มี สีที่เป็นเส้นยาวๆ เป็นทางก็มี มีสีมากมาย นับสีไม่ถ้วนจริงๆ แต่ทุกสีปรากฏทางตา

    แทนที่จะคิดว่า เวลาที่จักขุวิญญาณเกิดขึ้น เพียงเห็น ไม่รู้สี และจะไปเห็นเป็นสีต่างๆ ทางใจ ก็ควรที่จะเข้าใจให้ถูกต้องว่า ปัญญาที่จะรู้ลักษณะของ สภาพธรรมตามความเป็นจริงนั้น ไม่สนใจในสีที่ปรากฏ คือ ไม่สนใจเลยว่าจะเป็น สีแดง สีเขียว สีฟ้า เมื่อลืมตาขึ้นมาปรากฏสิ่งหนึ่งสิ่งใด สิ่งนั้นคือสิ่งที่กระทบกับ จักขุปสาท จึงปรากฏ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่รู้ว่า ทางตามีเพียงสิ่งที่ปรากฏ ชั่วขณะที่เห็นสว่างอย่างนี้ เพราะว่าทางหูที่กำลังได้ยินเสียงไม่สว่างเลย เรียกได้ว่า มืด ทางจมูกที่กำลังได้กลิ่นก็มืด ขณะที่ลิ้มรส ขณะที่รสปรากฏก็มืด ขณะที่กายกระทบสัมผัสก็มืด ขณะที่ใจคิดนึกเรื่องต่างๆ ก็มืด

    เพราะฉะนั้น ที่สว่าง ชั่วขณะเล็กน้อยที่สุด อาจจะเรียกได้ว่า ชั่วแวบเดียวเท่านั้น และวิถีจิตทางทวารอื่นก็เกิดสืบต่อ แต่เนื่องจากรูปารมณ์กระทบกับจักขุปสาทบ่อยๆ ก็ทำให้สิ่งที่ปรากฏ ที่มองเห็น ที่สว่างอยู่ขณะนี้ปรากฏสืบต่อ เหมือนกับว่า ทวารอื่นซึ่งมืดนั้นไม่ปรากฏเลย แต่ตามความเป็นจริงแล้วควรจะเข้าใจว่า ชั่วขณะที่กำลังเห็นเดี๋ยวนี้สั้นแค่ไหน ระหว่างที่มีโสตทวารวิถีจิตเกิดคั่น ระหว่างที่มีภวังคจิต เกิดคั่น ระหว่างที่มีมโนทวารวิถีจิตที่กำลังคิดนึกเรื่องสิ่งที่ได้ยินได้ฟังเกิดคั่น

    เพราะฉะนั้น ทางตาที่สว่าง สั้นมาก ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ จะไม่ใส่ใจในสิ่งที่ปรากฏทางตา ทำให้คลายการติดยึดมั่นในนิมิต และอนุพยัญชนะที่เคยพอใจยึดมั่น ในสิ่งที่ปรากฏ

    ถ้ามีการคลายความพอใจ และรู้ว่าทางตาเพียงชั่วขณะสั้นๆ เล็กน้อย เท่านั้นเอง และทางทวารอื่นก็ไม่ได้ปรากฏสีสันวัณณะอย่างนี้เลย จะทำให้รู้ว่า ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตานั้น เป็นสีสันอะไรก็ไม่สนใจทั้งสิ้น เพราะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏทางตาเท่านั้น ถ้ารู้ความจริงอย่างนี้ ก็จะคลายความติดใน นิมิตอนุพยัญชนะ และจะหมดความสงสัยด้วย เพราะว่าทางใจที่รับรู้สิ่งที่ปรากฏทางตาต่อ ก็ไม่ต่างกับทางจักขุทวารวิถีซึ่งกำลังเห็นในขณะนี้

    ทางตาเห็นอย่างไร ทางใจก็รู้ในรูปร่างสัณฐาน และถ้าเป็นปัญญา ก็สามารถที่จะเพิ่มความรู้เป็นญาณจริยาว่า สิ่งที่ปรากฏทางตานี้เป็นเพียงชั่วเดี๋ยวเดียว เท่านั้นเอง ซึ่งถ้ารู้ว่าชั่วขณะเดียวก็คลายความสนใจ คลายความยึดมั่นลงไป เท่าที่สติจะระลึกได้ และปัญญาจะพิจารณาได้

    ก็คงหมดข้อสงสัยที่ว่า เห็นสีเป็นรูป ส่วนการรู้ว่าเป็นสีแดง สีเขียวเป็นนาม ใช่หรือไม่

    สภาพรู้ทั้งหมดเป็นนาม สภาพที่ไม่รู้เป็นรูป เพราะฉะนั้น จริงๆ แล้ว เวลาที่จิตเห็น ก็เห็นสิ่งที่ปรากฏเป็นสีต่างๆ แต่คงไม่มีใครที่จะเตือนตัวเองว่า นี่กำลังเป็น สีอะไรๆ ใช่ไหม แต่มีรูปร่างสัณฐานจากสีต่างๆ ที่ปรากฏทำให้รู้ในความหมายของ สิ่งที่ปรากฏได้ ต้องรู้จุดประสงค์ว่า การที่จะระลึกรู้ลักษณะของธรรมที่กำลังเห็น ในขณะนี้ เพื่อประโยชน์อะไร

    ก็เพื่อละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน

    เพราะฉะนั้น ถ้ารู้อย่างนี้ ก็ไม่สนใจทั้งนั้น สีอะไรก็ไม่เป็นไร เพียงแต่รู้ว่า เป็นสิ่งที่ปรากฏ และถ้าขณะนั้นระลึกจริงๆ ว่า เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นจะสนใจไหมว่าสีอะไร นี่เป็นคำถามในมุมกลับให้พิจารณาว่า ถ้าขณะนั้นกำลังพิจารณา รู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ขณะนั้นจะสนใจไหมว่าเป็นสีอะไร เพราะถึงแม้ว่าจะเป็น สีอะไร ทั้งหมดก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น

    ขณะนี้พิสูจน์ได้ เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ก็ไม่สนใจแล้วที่จะรู้ว่าเป็นสีอะไร เพราะรู้ว่าเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏเท่านั้น


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1527


    หมายเลข 13106
    18 ก.ย. 2567