อานาปานสติ สำหรับ มหาบุรุษเท่านั้น


    ธรรมใดเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ขณะใดที่เป็นไปเพื่อละ


    ผู้ฟัง สำหรับอานาปานสติสมาธิ หรืออานาปานสติ หรืออานาปานบรรพ ในสติปัฏฐาน รู้สึกว่าในประเทศไทยนิยมกันเหลือเกิน ที่ไหนๆ ก็ทำอานาปานสติกัน

    ผมจำได้ครั้งหนึ่งเมื่อผมเริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา ได้อ่านหนังสือเล่มหนึ่ง เรื่องอานาปานสติสมาธิ ผมอ่านไปได้ครึ่งเล่ม ตอนนั้นเราไม่มีความรู้อะไรเท่าไร แต่มีความว้าวุ่นเกิดขึ้น อ่านแล้วไม่ถูกกับตัวเองเลย วางหนังสือเล่มนั้นจนเดี๋ยวนี้ ก็ไม่ได้จับอีกเลย ผมอยากจะฝากบอกทุกๆ คนว่า อย่าไปหลงติดอานาปานสติเลย เพราะอานาปานสติตามที่อาจารย์พูดไว้ หรือในอรรถกถาก็มีพูดไว้ว่า สำหรับ มหาบุรุษเท่านั้น พระพุทธองค์ส่วนใหญ่ก็จะตรัสกับอสีติมหาสาวก

    สุ. การที่จะรู้ว่า ธรรมใดเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง พระผู้มีพระภาคก็ได้ตรัสไว้แล้วว่า ขณะใดที่เป็นไปเพื่อละ ไม่ว่าเรื่องของสมาธิ หรือเรื่องใดก็ตาม ขณะนั้นพิสูจน์ได้ว่า เป็นไปเพื่อต้องการ หรือเป็นไปเพื่อละ สิ่งใดก็ตามที่เป็นไปเพื่อละ เพื่อการไม่ติดข้อง นั่นคือพระธรรม แต่สิ่งใดถ้าเป็นไป เพื่อความต้องการ ไม่ใช่เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาจึงมีความต้องการ ขณะนั้น ก็ไม่ใช่พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดง

    . พูดถึงมหาบุรุษ น่าสนใจมาก ท่านอาจารย์ก็ได้อธิบายหลายอย่าง คิดว่าพอจะเข้าใจแล้ว แต่อดไม่ได้ว่า อาจจะมีบางคนหรือตัวผมเองก็ได้ ที่มานั่งพิจารณาว่า อย่าไปทำเลยอานาปานสติ เราไม่ใช่มหาบุรุษ แต่วันดีคืนดีผม ก็นึกว่า คนที่เป็นมหาบุรุษ เขาก็ไม่รู้ตัวจนกระทั่งเขาเป็นแล้ว เผลอๆ เราอาจจะเป็นมหาบุรุษก็ได้กระมัง ตอนนี้ยังไม่รู้นี่ เพราะฉะนั้น คงจะต้องเจริญอานาปานสติก่อนดีกว่า เผื่อเราเป็นมหาบุรุษ จะได้หลุดพ้นไปเลย ตรงนี้เป็นปัญหาถามเหมือนกับเล่น แต่เป็นจริงตรงที่ว่า ระหว่างความรู้ว่าเป็นมหาบุรุษกับไม่รู้ เกี่ยวข้องกับอานาปานสติ อย่างไรหรือไม่ แต่ถ้าบอกว่า อย่าไปนึกถึงเรื่องมหาบุรุษเลย ก็จบ

    สุ. คิดเรื่องปัญญาดีไหม เพราะว่ามหาบุรุษต้องเกี่ยวกับปัญญา ถ้าปราศจากปัญญาเป็นมหาบุรุษไม่ได้แน่ และปัญญาก็มีหลายขั้น ปัญญาที่เป็น โลกียะก็มี ปัญญาที่เป็นโลกุตตระก็มี สำหรับผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็น พระอรหันต์ก็ยังต่างกัน ไม่ใช่เหมือนกัน พระอรหันต์สุกขวิปัสสกะก็ไม่ใช่เป็น พระอนาคามี เป็นพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่พระอรหันต์ที่เป็นฌานลาภีบุคคล คือ ไม่ได้เป็นผู้อบรมเจริญสมถภาวนา และไม่สามารถมีฌานสมาบัติทั้งรูปฌาน อรูปฌาน ไม่สามารถทำอิทธิปาฏิหาริย์ต่างๆ และไม่มีปฏิสัมภิทาด้วย

    ปัญญามีมาก หลายขั้น และแต่ละบุคคลก็ควรจะรู้ว่า เราซึ่งยังไม่ใช่ พระอรหันต์ กิจของเราคือทำอย่างไร จะเป็นมหาบุรุษหรือจะค่อยๆ อบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ลักษณะของสภาพธรรม และเมื่อปัญญาเกิดบุคคลผู้นั้นจะรู้เองว่า เป็นมหาบุรุษหรือไม่เป็น หรือเป็นเพียงสุกขวิปัสสกะเท่านั้น แต่ไม่ใช่ด้วยความหวังว่า เราอาจจะเป็น และจะทำอานาปานสติรอไว้ ไม่ใช่อย่างนั้น แต่เริ่มจากการที่รู้ว่า ขณะนี้ไม่รู้อะไร

    เพราะฉะนั้น เมื่อยังไม่รู้อยู่ ก็ควรที่จะรู้ ไม่ใช่หวังรอว่า อาจจะเป็นมหาบุรุษ เพราะว่าสิ่งที่ปรากฏก็รู้ไม่ง่ายเลย ทั้งๆ ที่กำลังปรากฏทางตา และได้ยินได้ฟังมาด้วยว่า ไม่ใช่ตัวตน ต้องเป็นสภาพรู้แน่ๆ สำหรับคนที่ยังไม่ตายจึงเห็น เพราะฉะนั้น แม้แต่เพียงลักษณะอาการของสภาพรู้ซึ่งกำลังเห็น ก็ยังไม่รู้ว่าต่างกับสิ่งที่ปรากฏ ทางตาอย่างไร ก็ต้องอบรมเจริญปัญญาเพื่อรู้ และในขณะที่อบรมเจริญปัญญา โดยไม่หวังว่าเราจะเป็นมหาบุรุษ หรือเราจะรู้รูปที่ละเอียด หรือรู้รูปนั้นรูปนี้ เป็นสมาธิขั้นนั้นขั้นนี้ สิ่งที่แต่ละบุคคลสะสมมาแล้ว ไม่มีใครสามารถยับยั้งการสะสมของเหตุปัจจัยที่สติจะระลึก และเมื่อปัญญาประจักษ์แจ้งคนนั้นไม่สามารถรู้ล่วงหน้า ได้ว่า ปัญญาของเขาจะประจักษ์แจ้งลักษณะสภาพธรรมอะไร และจะประกอบด้วยความสงบของจิตซึ่งเป็นสมาธิขั้นไหน แต่ให้ทราบว่า ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมเป็นพระอริยบุคคลที่ไม่ใช่ฌานลาภีบุคคล มีมากกว่าผู้ที่เป็นฌานลาภีบุคคล

    นั่นในสมัยกาลสมบัติ และในสมัยนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี บุคคลในครั้งนี้ที่มี ความสนใจในพระธรรม มีกรรมเป็นปัจจัยที่จะทำให้โสตวิญญาณได้ยินเสียงที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว และเป็นเสียงที่สามารถทำให้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมได้ ในเมื่อสะสมปัญญามาพอที่จะฟัง และพิจารณา และเข้าใจได้

    แต่บุคคลเหล่านี้ทำไมไม่บรรลุเป็นพระอริยบุคคลในสมัยที่พระผู้มีพระภาค ยังไม่ปรินิพพาน ก็แสดงให้เห็นว่า ปัญญายังไม่พอ ยังต้องอบรมต่อไปด้วยการฟัง ด้วยการพิจารณา ด้วยการเป็นผู้ละเอียด ด้วยการเป็นผู้ตรงต่อลักษณะของ สภาพธรรม และเหตุผลของการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ

    เพราะฉะนั้น ในยุคนี้ สมัยนี้ ไม่หวัง ดีไหม ไม่ต้องไปรอทำอานาปานสติไว้ ที่ใช้คำว่า มหาบุรุษ ก็เป็นคำที่พิเศษกว่าบุรุษธรรมดาอยู่แล้วในกาลสมบัติ และ สมัยนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี หมดสมัยของพระอรหันต์ซึ่งเป็นผู้ได้อภิญญา ปฏิสัมภิทา หลังปรินิพพาน ๑,๐๐๐ ปี ยังคงมีพระอรหันต์ที่เป็นผู้ที่มีคุณวิเศษ เช่น ปฏิสัมภิทา อภิญญา พันปีที่ ๒ ก็ยังมีพระอรหันต์ แต่ไม่ใช่ผู้ที่เป็นมหาบุรุษ เพราะฉะนั้น นี่ ๒,๕๐๐ กว่าปี อยู่ในเขตของพันปีที่ ๓ ก็เป็นสมัยของพระอนาคามีบุคคล

    . ขอบพระคุณ

    สุ. เป็นเรื่องของการที่จะอดทน พิจารณาศึกษาธรรมโดยละเอียด ซึ่งเป็นขันติบารมี

    . อาจารย์บอกว่า ขณะนี้เป็นพันปีที่ ๓ ก็มีพระอริยบุคคลขั้นอนาคามี หมายถึงในมนุษย์ภูมินี้ ใช่ไหม

    สุ. ใช่

    . ไม่ได้หมายถึงเทวภูมิ

    สุ. ไม่หมายถึงเลย

    . ในอรรถกถาไม่ได้แสดงไว้ละเอียดว่า หมายถึงเฉพาะมนุษย์ภูมิ

    สุ. ผู้ที่เกิดในภูมิที่มีอายุยืนยาว เมื่อครั้งที่ได้เป็นพระอริยบุคคลในครั้งนั้น ก็ยังมีชีวิตอยู่ และจะเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่อๆ ไป แต่ผู้ที่มีอายุยืนยาวในโลกมนุษย์ก็อายุเพียงแค่ ๑๒๐ ปี อย่างท่านพระอานนท์ ท่านก็ปรินิพพานไปแล้ว จึงไม่มีใคร ที่จะเป็นพระอรหันต์สืบต่อมาจนกระทั่งถึงสมัยนี้

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1904

    . ในอรรถกถาบอกเพียงว่า พันปีที่ ๓ มีแค่พระอนาคามี แต่ไม่ได้ ขยายความว่าหมายถึงมนุษย์ภูมิอย่างเดียว

    สุ. เวลานี้โลกอื่นก็มีพระอรหันต์

    . อย่างนั้นหรือ

    สุ. เป็นพระโสดาบันแล้ว และท่านก็จุติจากโลกนี้ ท่านวิสาขามิคารมารดา ท่านอนาถบิณฑิกะก็เป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี ต่อไปท่านก็ต้องเป็นพระอรหันต์

    . น่ากลัวจะเกินวิสัยที่จะรู้

    สุ. โลกอื่นมีแน่ ไม่น่าจะต้องคิดถึงไกลแสนไกลถึงโลกอื่น โลกนี้จะอยู่ นานสักเท่าไรก็ไม่ทราบ อาจจะจากโลกนี้ไปเร็ว ก็ควรที่จะคิดถึงโลกนี้ โลกอื่นก็คิดถึงเมื่อไปถึงโลกนั้น หรือว่าเมื่อไปถึงโลกนั้น ก็อยากจะคิดถึงโลกนี้


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1905

    แนวทางเจริญวิปัสสนา เล่ม ๑๙๑


    หมายเลข 13127
    25 ก.ย. 2567