ภิกษุให้ของเคี้ยว แก่อเจลกะ ด้วยมือของตน เป็นปาจิตตีย์


    สำหรับท่านผู้ฟังที่ข้องใจในเรื่องของบรรพชิตว่า ท่านจะมีการให้หรือไม่ ขอกล่าวถึง พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ปาจิตตีวรรคที่ ๕ อเจลกวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องพระอานนท์ มีข้อความว่า

    โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี ครั้งนั้น กองขนม เครื่องขบฉันเกิดแก่พระสงฆ์ จึงท่านพระอานนท์ได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดูกร อานนท์ ถ้าเช่นนั้นเธอจงให้ขนมเป็นทานแก่พวกคนกินเดน

    ท่านพระอานนท์ทูลรับสนองพระพุทธดำรัสแล้ว จัดคนกินเดนให้นั่งตามลำดับ แล้วแจกขนมให้คนละชิ้น ได้แจกขนม ๒ ชิ้น สำคัญว่าชิ้นเดียวแก่ปริพาชกาผู้หนึ่ง พวกปริพาชกาที่อยู่ใกล้เคียงได้ถามปริพาชิกาผู้นั้นว่า

    พระสมณะนั้นเป็นคู่รักของเธอหรือ

    นางนั้นตอบว่า

    ท่านไม่ใช่คู่รักของฉัน ท่านแจกให้ ๒ ชิ้น สำคัญว่าชิ้นเดียว

    ดูเรื่องของคนมีกิเลสว่า วุ่นวายสักแค่ไหน เพียงขนมที่คนอื่นได้รับคนละชิ้น แต่ว่านางปริพาชิกาผู้นี้ได้รับ ๒ ชิ้น เพราะท่านพระอานนท์สำคัญว่าเป็นชิ้นเดียว ความที่เป็นผู้ที่มีกิเลสก็คิดไปต่างๆ นานา และเมื่อคิดแล้ว ดำริผิด วาจาผิดเกิดขึ้น เป็นเรื่องของเหตุปัจจัยทั้งนั้น

    ข้อความต่อไปมีว่า

    แม้ครั้งที่ ๒ แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์เมื่อแจกขนมให้คนละชิ้น ได้แจกขนมให้ ๒ ชิ้น สำคัญว่าชิ้นเดียวแก่ปริพาชิกาคนนั้นแหละซ้ำถึง ๓ ครั้ง พวกปริพาชิกาที่อยู่ใกล้เคียงได้ถามปริพาชิกาผู้นั้นว่า พระสมณะนั่นเป็นคู่รักของเธอหรือ

    นางตอบว่า

    ท่านไม่ใช่คู่รักของฉัน ท่านแจกให้ ๒ ชิ้น สำคัญว่าชิ้นเดียว

    พวกปริพาชิกาจึงล้อเลียนกันว่า

    คู่รัก หรือ ไม่ใช่คู่รัก

    เรื่องของมนุษย์ไม่ว่าสมัยไหน แม้ในครั้งที่ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน และท่านพระอานนท์ ท่านเป็นพระโสดาบันบุคคล แต่แม้กระนั้นเพียงการกระทำที่พลาดพลั้ง ผิดพลาดไปด้วยความสำคัญผิด ก็เป็นเหตุให้บุคคลที่มีกิเลสนั้นเข้าใจต่างๆ นานา ซึ่งจะเห็นได้ว่า ชีวิตปกติของบรรพชิต มีการให้ทาน เจริญสติปัฏฐานด้วย ในขณะนั้น

    ผู้ที่เป็นภิกษุ ท่านละอาคารบ้านเรือนเพื่อประพฤติพรหมจรรย์ คือ มรรคมีองค์ ๘ ในเพศของบรรพชิต ไม่ว่าจะนั่ง จะนอน จะยืน จะเดิน จะพูด จะนิ่ง จะคิด จะประกอบกิจการงานต่างๆ ตามพระพุทธโอวาทที่ว่า ให้เจริญสติทุกลมหายใจเข้าออก แม้กระนั้น พระผู้มีพระภาคก็ตรัสให้ทานกองขนมที่มีมากนั้นกับคนอื่น เพราะฉะนั้น ก็เจริญสติปัฏฐานได้ ไม่ใช่ว่าในขณะที่ให้ทาน เจริญสติปัฏฐานไม่ได้

    ข้อความต่อไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง คือ

    อาชีวกอีกคนหนึ่งได้ไปสู่ที่อังคาส คือ ที่ถวายภัตตาหารแด่พระภิกษุ ภิกษุรูปหนึ่งคลุกข้าวกับเนยใสเป็นอันมาก แล้วได้ให้ข้าวก้อนใหญ่แก่อาชีวกนั้น เมื่อเขาได้ถือก้อนข้าวนั้นไปแล้ว อาชีวกอีกคนหนึ่งได้ถามอาชีวกผู้นั้นว่า

    ท่านได้ก้อนข้าวมาจากไหน

    อาชีวกนั้นตอบว่า

    ได้มาจากที่อังคาสของพระสมณะโคดม คฤหบดีโล้นนั้น

    ไม่ได้คิดถึงความเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เมื่อมีความเห็นผิด วาจาก็ผิดตามไปด้วย

    ข้อความต่อไปมีว่า

    อุบาสกทั้งหลายได้ยิน ๒ อาชีวกนั้นสนทนาปราศรัยกัน จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลว่า

    พระพุทธเจ้าข้า เดียรถีย์พวกนี้เป็นผู้มุ่งติเตียนพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ข้าพระพุทธเจ้าขอประทานพระวโรกาส ขออย่าให้พระคุณเจ้าทั้งหลายให้ของแก่พวกเดียรถีย์ด้วยมือของตนเอง

    เรื่องของการให้ การให้ด้วยความนอบน้อมนั้น ให้ด้วยมือของตนเอง ไม่ใช่อย่างโยนให้ ไม่ใช่อย่างเหวี่ยงให้ เป็นการให้อย่างดี แต่สำหรับบรรพชิตเป็นโอกาสที่บุคคลอื่นจะเข้าใจผิดได้ อย่างเช่น ท่านพระอานนท์ เวลาที่ท่านให้ขนม ๒ ชิ้นด้วยสำคัญว่าชิ้นเดียว ก็ทำให้คนอื่นกล่าวโทษ หรือว่าติเตียน หรือใช้วาจาที่ไม่สมควร หรือแม้แต่เวลาที่อาชีวกได้ก้อนข้าวจากพระภิกษุรูปหนึ่ง ก็ยังกล่าวว่าอย่างนั้น

    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้อุบาสกเหล่านั้นเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้นอุบาสกเหล่านั้นอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ กลับไปแล้ว ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงทำ ธรรมีกถาอันเหมาะสมแก่เรื่องนั้น อันสมควรแก่เรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ

    เพื่อการรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจักบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้

    พระบัญญัติมีข้อความว่า

    อนึ่ง ภิกษุใดให้ของเคี้ยวก็ดี ของกินก็ดี แก่อเจลกะก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ด้วยมือของตน เป็นปาจิตตีย์


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 192


    หมายเลข 13154
    1 ต.ค. 2567