ศีล ๓ คือ กุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล


    ศีลมีเท่าไร คือ ศีล ๓ คือ กุศลศีล อกุศลศีล อัพยากตศีล

    สำหรับคำว่า กุศล หมายความถึงธรรมที่ดีงาม ที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผล คือ วิบากในอนาคต

    ธรรมที่เป็นเหตุ ได้แก่ กุศลเหตุ ๑ อกุศลเหตุ ๑ เป็นธรรมที่เป็นเหตุ ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดกุศลวิบาก และอกุศลวิบาก

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 323

    ถ้าเป็นกุศลศีล ก็เป็นปัจจัยให้กุศลวิบากจิตเกิดขึ้น ถ้าเป็นอกุศลศีล ก็เป็นปัจจัยให้อกุศลวิบากจิตเกิดขึ้น เพราะเหตุว่าในชีวิตไม่ใช่มีแต่ธรรมที่เป็นเหตุ หรือไม่ใช่มีแต่ธรรมที่เป็นวิบากคือผล ส่วนที่เป็นเหตุก็มี ที่จะทำให้เกิดผลในอนาคต และส่วนที่เป็นวิบากคือผลก็มี ซึ่งเป็นผลของเหตุในอดีตที่ได้กระทำไว้

    เพราะฉะนั้น ถ้ากล่าวถึงกุศล และอกุศล หมายความถึงสภาพธรรมที่เป็นเหตุที่จะให้เกิดวิบาก กุศลเป็นเหตุให้เกิดกุศลวิบาก ผลฝ่ายดีที่จะได้รับทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย อกุศลเป็นเหตุที่ไม่ดี ที่จะทำให้เกิดอกุศลวิบาก คือ การรับผล ที่ไม่ดีต่างๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย

    สำหรับผู้ที่ยังไม่ใช่พระอรหันต์ ยังไม่หมดกิเลส ด้วยเหตุนี้จึงยังมีเชื้อ มีปัจจัยที่จะเป็นกุศล และอกุศลที่จะเป็นปัจจัยให้เกิดปฏิสนธิหลังจากจุติแล้ว ยังทำให้มีวิบากเกิดขึ้น เพราะฉะนั้น ท่านผู้ฟังก็จะต้องทราบความหมายของคำว่า กุศลา ธัมมา อกุศลา ธัมมา อัพยากตา ธัมมาด้วย

    กุศลา ธัมมา หมายความถึงธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ที่ดีงาม ที่เป็นเหตุ อกุศลา ธัมมา คือ อกุศลธรรมทั้งหลายที่เป็นเหตุที่ไม่ดี ที่จะให้เกิดผล คือ วิบากที่ไม่ดี สำหรับอัพยากตา ธัมมา หมายความถึงธรรมที่ไม่ใช่กุศล และอกุศล ธรรมนั้นเป็นอัพยากตะ

    รูป จะกล่าวว่าเป็นกุศล เป็นไปในทาน ในศีลไม่ได้ เพราะรูปไม่ใช่สภาพรู้ เพราะฉะนั้น รูปทั้งหมดเป็นอัพยากตะ สิ่งที่จะเป็นกุศลหรืออกุศลต้องเป็นนามธรรม เป็นสภาพที่รู้อารมณ์ เป็นธรรมฝ่ายดี จึงเป็นกุศลธรรม หรือเป็นธรรมฝ่ายไม่ดี จึงเป็นอกุศลธรรม

    เพราะฉะนั้น วิบาก คือ นามธรรมที่รู้อารมณ์ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ซึ่งเป็นผลที่เกิดจากเหตุ คือ กุศลหรืออกุศลในอดีต วิบากทั้งหมดเป็นอัพยากตะ และจิตของพระอรหันต์ที่เป็นกิริยาจิต คือ ไม่เป็นเหตุที่จะให้เกิดผลในอนาคต ก็เป็น อัพยากตะด้วย

    ขอทบทวนเรื่องชาติของจิตซึ่งมี ๔ ชาติ จิตแบ่งเป็นกุศล ๑ อกุศล ๑ วิบาก ๑ กิริยา ๑

    กุศล ได้แก่ จิตที่เป็นเหตุที่ดี ที่จะให้เกิดกุศลวิบาก

    อกุศล เป็นเหตุที่ไม่ดี ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิดอกุศลวิบาก

    วิบาก เป็นผล ถ้าเป็นผลของอกุศล ก็เป็นอกุศลวิบาก ถ้าเป็นผลของกุศล ก็เป็นกุศลวิบาก

    กิริยาจิต ได้แก่ จิตที่ไม่ใช่กุศลจิต ไม่ใช่อกุศลจิต ไม่ใช่วิบากจิต กิริยาจิตไม่ใช่จิตที่เป็นเหตุ และไม่ใช่จิตที่เป็นผล

    สำหรับคนที่ไม่ใช่พระอรหันต์มีจิตทั้ง ๔ ชาติ คือ มีทั้งกุศลจิต อกุศลจิต วิบากจิต กิริยาจิต แต่สำหรับผู้ที่เป็นพระอรหันต์ ไม่มีกุศลจิต ไม่มีอกุศลจิต มีแต่วิบากจิต กับกิริยาจิต ซึ่งเป็นอัพยากตะ

    เพราะฉะนั้น ศีลจึงมี ๓ ถ้าศีล ความประพฤติทางกาย ทางวาจา เป็นสิ่งที่ ไม่ดี ไม่งาม ไม่เป็นประโยชน์ นำมาซึ่งความเดือดร้อน ก็เป็นอกุศลศีล แต่ศีลที่ดี ที่งามทางกาย ทางวาจา ซึ่งจะเป็นเหตุให้เกิดสุข ให้เกิดประโยชน์ ศีลที่ดี ที่งาม ทางกาย ทางวาจานั้น ก็เป็นกุศลศีล

    สำหรับพระอรหันต์ ไม่มีอกุศล และไม่มีกุศล จะกล่าวว่า พระอรหันต์ไม่มีศีลได้ไหม เมื่อยังมีกาย ก็ต้องมีความประพฤติทางกาย เป็นเรื่องของการดำรงชีวิตต่อไป ในเมื่อยังมีชีวิตอยู่ ก็จำเป็นที่จะต้องมีวาจา มีถ้อยคำ มีวาจาที่เป็นสุจริต แต่เพราะเหตุว่าจิตของท่านไม่มีกิเลส ศีลของท่านจึงไม่ใช่กุศลศีล แต่เป็นอัพยากตศีล


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 324


    หมายเลข 13179
    8 ต.ค. 2567