ตั้ง ๒๐ กว่าปีที่ทำ คือ ทำอย่างผิด
ถ . ผมเป็นนักเรียนคริสเตียนรุ่นก่อนที่เขาจะย้ายมาอยู่พระนคร ยังอยู่ปากคลองสำเหร่ ผมเป็นลูกชายคนเดียวของตระกูล กลางวันไปเรียนหนังสือ กลับมาก็ท่องไบเบิลต่างๆ ที่เขาให้การบ้านมา อาผมเป็นคนที่เคร่งเครียดในพระศาสนามาก เป็นผู้ที่เคร่งครัด เคร่งเครียดที่สุด เป็นห่วง เพราะหลานชายคนเดียวเป็นผู้สืบสกุลเกือบจะเป็นคริสเตียนแล้ว กลางคืนก็แทรกให้เรียนพระพุทธศาสนา แต่เป็นการเรียนพุทธศาสนาอย่างโบราณ คือ พาไปหาครูบาอาจารย์ที่ทรงคุณต่างๆ นับตั้งแต่ท่านเจ้าคุณสังวราภรณ์สังวรานุวงศ์เถระ ที่วัดราชสิทธาราม และท่านเจ้าคุณเทพกวี แจ่มศาสนโสภณ ที่แปลธรรมบทไว้ทั้งหมด ที่เราอ่านเรียนกันทุกวันนี้ ผมเป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านที่เข้าไปเรียน ท่านก็รับ ท่านส่งธรรมบทที่ท่านแปลไว้แล้ว บอกให้ไปเรียนให้คล่องก่อน ท่านจึงจะต่อบทอื่น
เด็ก ๗ - ๘ ขวบ ถูกบังคับทุกวันให้ท่องธรรมบท การท่องนี่ก็ชอบกล แต่ผมหวังอามิสมากกว่า ไม่ได้ท่องด้วยความเลื่อมใสศรัทธา เพราะเหตุว่าถ้าท่อง เล่าธรรมบทได้ จะมีขนม มีสตางค์ให้ ทำมาอย่างนี้เรื่อยมาจนกระทั่งอายุผมได้ ๙ ขวบ ผมจำได้แม่นยำ ที่เป็นเหตุให้ผมนับถือศาสนาพุทธเพิ่มขึ้นอีกขั้นหนึ่ง ผมไม่ได้นับถือด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอะไรหรอก ไม่มีเลยจริงๆ เป็นความสัตย์ บันไดก้าวแรก ผมนับถือศาสนาพุทธ เพราะเฮี้ยน ขลังนี่ผมเชื่อ ผมได้พบอาจารย์ที่เก่งทางกัมมัฏฐาน เก่งทางสมถกัมมัฏฐาน เก่งทางอาคม ทำอะไรๆ ได้หลายอย่าง ที่มองเห็นว่าเป็นเรื่องประหลาดมหัศจรรย์ น่าเลื่อมใส
จนกระทั่ง ๑๗-๑๘ ได้พบพระอาจารย์ที่ท่านแนะนำให้จำเริญสติปัฏฐาน แต่ การจำเริญของท่านไม่มีอะไรหรอก ให้ท่อง บอกว่า ให้ท่อง จำเริญไว้เถอะ ๗ ปีเต็มสำเร็จเป็นพระอรหันต์แน่ ทีแรกผมก็เชื่อ เพราะเหตุว่าไม่มีการยั้งคิดไตร่ตรองอะไร ท่องไปได้ปีหนึ่ง ตรองไปตรองมาไม่ถูกหลักที่พระพุทธองค์สอน พระพุทธองค์ท่านสอนให้ปฏิบัติ ไม่ใช่ให้ภาวนาแล้วสำเร็จ นี่เป็นการทำสมถกัมมัฏฐาน ผมก็เข้าใจดี เข้าใจเอง การจำเริญมหาสติปัฏฐานด้วยการท่องนี้ก็มีอานิสงส์ ยังเชื่อท่าน ความจริงมีอานิสงส์มาก อานิสงส์เห็นทันตาเลย พอผมหยุดท่องได้ ๒ ปี ผมหลบการเกณฑ์ทหารไปเป็นตำรวจ ผมสอบโรงเรียนตำรวจ เขาส่งมาประจำที่สันติบาล ที่นี่แหละ ที่ผมถือเรื่องกัมมัฏฐาน จำเริญโดยการใช้สติบ้าง อะไรบ้าง สติปัฏฐานนี้ ผมไม่ได้เรียนจากครูบาอาจารย์ ใช้เปิดตำรา เพ่ง พิจารณาธรรมภายใน พิจารณาธรรมภายนอก การพิจารณาธรรมภายนอก ผมถือว่าการงานทุกชิ้นที่ผ่านเข้ามา อยู่ในธรรมหรือไม่ ตรงไหนที่ไม่ถูกกับธรรม ผมก็หมายไว้ อย่างนี้เรื่อยไป
สุ . ท่านผู้ฟังก็คงจะทราบแล้วว่า การปฏิบัติของท่านผู้นี้พิจารณาเหตุผลต่างๆ ซึ่งไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน เป็นต้นว่า ธรรมภายนอก สิ่งที่ท่านได้ยินได้ฟัง หรือการงานในหน้าที่ที่ท่านปฏิบัติ ท่านก็เอามาสอบสวนดูว่าเป็นธรรมหรือเปล่า ท่านถือว่าเป็นธรรมภายนอก ซึ่งความจริงแล้ว เรื่องของการเจริญสติปัฏฐานเป็นเรื่องที่สติระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏ ถ้าเพียงแต่วันหนึ่งๆ พิจารณาดูเหตุการณ์ตามหนังสือพิมพ์ ตามคำสั่งต่างๆ นั่นไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน
การเจริญสติปัฏฐานต้องรู้ลักษณะของสติที่ระลึกได้ ในขณะที่เห็นทางตา ในขณะที่ได้ยินเสียงทางหู ในขณะที่กลิ่นปรากฏทางจมูก ในขณะที่รสปรากฏทางลิ้น ในขณะที่โผฏฐัพพะปรากฏที่กาย ในขณะที่เป็นสุข เป็นทุกข์ คิดนึกต่างๆ นั่นจึงจะเป็นสติปัฏฐาน แต่ไม่ใช่ว่าพิจารณาว่า สิ่งนั้นควรหรือไม่ควร โดยที่ไม่รู้ว่าขณะนั้นไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพธรรมที่ปรากฏเท่านั้น เพราะฉะนั้น ที่ผ่านมาแล้วทั้งหมดนี้ ไม่ใช่การเจริญสติปัฏฐาน
ถ . ผมมาทราบทีหลัง ตั้ง ๒๐ กว่าปีที่ทำ คือ ทำอย่างนี้ผิด ลงเหวไปเลย พูดตามตรง เพิ่งมาสว่างกระจ่างแจ้งดี ก็เมื่อได้รับฟังคำบรรยายของท่านอาจารย์ทางวิทยุ
สุ . คงจะมีท่านผู้ฟังอีกหลายท่าน ซึ่งอาจจะคิดว่า ท่านได้เจริญสติปัฏฐานแล้ว โดยการตรึก คิดนึก ไตร่ตรองสภาพธรรมต่างๆ แต่นั่นไม่ใช่ลักษณะของ สติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าถ้าเป็นสติปัฏฐาน จะรู้ในลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏแต่ละทาง แต่ละลักษณะ
สติปัฏฐานเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน เรื่องของศีลก็เป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน ซึ่งโดยมากท่านผู้ฟังที่อยากจะรักษาศีล ถือศีล จะเป็นเพราะท่านต้องการอานิสงส์ที่ดี หรือท่านคิดว่าในขณะที่เจริญวิปัสสนา ทำวิปัสสนา ก็จะต้องรักษาศีลอย่างเคร่งครัดทีเดียว ท่านไม่ทราบว่า แท้ที่จริง ศีลเป็นเรื่องปกติจริงๆ ไม่พ้นไปจากกาย วาจา ใจของท่าน
แต่ละวันจิตใจของท่านเป็นอกุศล หรือเป็นกุศลมากน้อยเท่าไร ถ้าท่านล่วงศีล กระทำทุจริตกรรม ก็เป็นเครื่องแสดงว่า กิเลสหนาแน่นมากทีเดียว ซึ่งท่านผู้ฟังควรจะได้ทราบว่า ศีลเป็นปกติ เพราะฉะนั้น ศีล ๕ เป็นปกติด้วย
ที่มา ...