ภิกษุไม่ยินดีในการรับเงินและทอง


    ผู้ที่เห็นโทษของรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และสามารถที่จะสละชีวิตของคฤหัสถ์ไปสู่ชีวิตของบรรพชิต ย่อมจะต้องไม่ยินดีในการรับเงิน และทองด้วย เพราะว่าเมื่อต้องการที่จะสละรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็ต้องสละการที่จะรับเงิน และทองซึ่งเป็นปัจจัยที่จะให้ได้รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะด้วย

    สำหรับมูลเหตุที่พระผู้มีพระภาคจะทรงบัญญัติสิกขาบทไม่ให้ภิกษุรับหรือว่ายินดีเงิน และทอง ข้อความใน พระวินัยปิฎก มหาวิภังค์ ภาค ๓ โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร ข้อ ๑๐๕ มีข้อความว่า

    โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรเป็นกุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น เขาย่อมแบ่งส่วนไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น เขาจึงแบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า

    จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจักซื้อของอื่นถวายท่าน

    ครั้นแล้วเวลาเช้า ท่านอุปนันทศากยบุตรนุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย ทันใด บุรุษนั้นเข้าไปหาท่านพระ อุปนันทศากยบุตร กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบเรียนว่า

    ท่านเจ้าข้า เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่งจากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืดร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของพระคุณเจ้าแก่เด็ก พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวายด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ

    ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า

    เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เราแล้วหรือ

    บุรุษนั้นกราบเรียนว่า

    ขอรับ ผมบริจาคแล้ว

    ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกล่าวว่า

    เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา

    บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตรในทันใดนั้นเอง แล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้รับรูปิยะเหมือนพวกเรา

    ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับรูปิยะเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค

    ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม

    ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า

    ดูกร อุปนันทะ ข่าวว่าเธอรับรูปิยะจริงหรือ

    ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า

    จริง พระพุทธเจ้าข้า

    ทรงติเตียน

    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า

    ดูกร โมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่นไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว

    ทรงบัญญัติสิกขาบท

    พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน และตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนก-ปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑

    ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้

    พระบัญญัติ

    อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์

    เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ

    ที่มา ... แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 564

    ถ้าท่านศึกษาพระวินัยบัญญัติ จะเห็นได้ว่า ท่านพระอุปนันทศากยบุตรเป็นมูลเหตุให้พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทหลายข้อ และที่พระผู้มีพระภาคตรัสกับภิกษุทั้งหลายให้เห็นโทษของการกระทำของท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำในการที่รับรูปิยะ ซึ่งการกระทำเช่นนั้นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้การกระทำอย่างนั้น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว

    ลองพิจารณาดูว่า จริงหรือไม่จริง แม้ในสมัยปัจจุบันนี้ จะเลื่อมใสไหมในภิกษุที่รับรูปิยะ หรือว่ารับทอง และเงิน ท่านผู้ฟังเองก็กล่าวตำหนิเพ่งโทษอยู่เสมอ จริงหรือไม่จริง เวลาที่ได้ยินได้ฟัง ได้ข่าวว่า ภิกษุรูปใดเป็นผู้ที่ยินดีในทอง และเงิน ไม่มีใครสรรเสริญ แต่จะสรรเสริญภิกษุผู้ไม่ยินดีในทอง และเงิน

    ในระหว่างพระภิกษุทั้งหลาย ท่านผู้ฟังจะพิจารณาได้ว่า ภิกษุรูปใดมีข้อปฏิบัติที่ชุมชนเลื่อมใส และข้อปฏิบัติอย่างใดไม่เป็นที่เลื่อมใส เคยได้ฟังคฤหัสถ์สรรเสริญพระภิกษุที่ท่านไม่ยินดีในทอง และเงินไหม แต่เคยได้ฟังคฤหัสถ์ที่ติเตียน เพ่งโทษพระภิกษุที่ยินดีในทอง และเงินใช่ไหม ก็เป็นปกติตามความเป็นจริง ซึ่งพระผู้มีพระ-ภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรโดยอเนกปริยาย

    เพราะฉะนั้น ท่านผู้ใดยินดีรับทอง และเงิน ก็ควรที่จะได้ระลึกถึงเมื่อครั้งที่ พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรโดยอเนกปริยาย ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ซึ่งถ้าปกติเป็นผู้ที่ไม่ยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ก็จะทำให้เป็นบุคคลที่เลี้ยงง่ายกว่าบุคคลที่ติดอย่างมากในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

    ผู้ที่ติดอย่างมาก คือ คฤหัสถ์ ติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ จึงเลี้ยงยาก ตั้งแต่เรื่องรูปที่ปรากฏทางตา คฤหัสถ์ก็มีความยินดีมาก ปรารถนามาก ต้องการมาก แสวงหามาก ซื้อหาอยู่เป็นอันมากทีเดียวในสิ่งที่ปรากฏทางตา ในเครื่องใช้ ในเรื่องที่อยู่อาศัย ในเรื่องเสื้อผ้า ในการประดับตกแต่งต่างๆ ซึ่งจะต้องใช้เงินทองเป็นอันมากสำหรับชีวิตของคฤหัสถ์ นี่เป็นผู้ที่เลี้ยงยาก

    แต่ว่าผู้ที่ไม่ยินดี หรือว่ามีความยินดีน้อย มีการมุ่งที่จะละคลายการติดในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็ย่อมจะเลี้ยงง่ายกว่ามาก และไม่มีเหตุที่จะต้องไปแสวงหารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่เกินจำเป็น เพราะฉะนั้น จึงไม่จำเป็นในการรับเงินทองหรือรูปิยะเลย

    ผู้ที่ยังแสวงหาเงินทองอยู่ ให้ทราบว่า ท่านเป็นบุคคลหนึ่งซึ่งเลี้ยงยาก และเป็นผู้ที่มีความพอใจต่างๆ นานาในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นคนเลี้ยงยาก ก็เป็นคนที่บำรุงยาก มีเรื่องที่จะต้องแก้ไขปรับปรุงบำรุงชีวิตให้สะดวกสบายมากขึ้น เพิ่มขึ้นอยู่เสมอ เป็นคนมักมาก เป็นคนไม่สันโดษ

    พระผู้มีพระภาคตรัสโทษแห่งความเป็นผู้เลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ เมื่อยังมีความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ แม้เป็นบรรพชิตก็ย่อมเป็นผู้ที่เลี้ยงยาก บำรุงยาก มักมาก ไม่สันโดษ ก็จะต้องคลุกคลีกับคฤหัสถ์ ซึ่งจะเป็นผู้ที่อุปถัมภ์บำรุง อุปัฏฐาก อุปการะต่างๆ

    พระผู้มีพระภาคตรัสโทษแห่งความเป็นคนเกียจคร้าน ในการที่จะไม่แสวงหาด้วยสัมมาอาชีวะ ซึ่งเป็นกิจของสมณะหรือบรรพชิตด้วยความอุตสาหะวิริยะ สำหรับสัมมาอาชีวะของบรรพชิต ทางที่จะได้มาซึ่งอาหารของบรรพชิต คือ บิณฑบาต เพราะฉะนั้น ไม่ใช่เป็นผู้เกียจคร้านในการที่จะแสวงหาอาหารด้วยสัมมาอาชีวะ คือ บิณฑบาต แต่ถ้าเป็นคนเลี้ยงยาก บำรุงยาก และคลุกคลีกับคฤหัสถ์ ก็อาจจะได้รับการอุปถัมภ์บำรุงอุปัฏฐากต่างๆ จากคฤหัสถ์ ซึ่งก็จะทำให้เป็นผู้ที่พอใจในความสบาย และเกียจคร้านในการแสวงหาด้วยสัมมาอาชีวะของบรรพชิต คือ บิณฑบาต

    นอกจากนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย และจึงได้ทรงบัญญัติสิกขาบทด้วยอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ

    สำหรับพระบัญญัติข้อนี้ คือ

    อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้ เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์

    ซึ่งถ้าท่านพระอุปนันทศากยบุตรเป็นผู้เลี้ยงง่าย ท่านก็จะไม่ยินดีในรูปิยะที่อุบาสกท่านนั้นบริจาคทรัพย์เพื่อท่าน ๑ กหาปณะ

    เมื่อท่านมีส่วนของเนื้อ แต่ว่าอุบาสกท่านก็ได้ให้ส่วนของท่านนั้นแก่บุตรของตนแล้ว ก็ควรจะจบเรื่อง ไม่ต้องห่วงใยอาลัยในเรื่องการต้องการเนื้อ หรือว่ากหาปณะที่จะเก็บไว้สำหรับบริโภคใช้สอย แต่เพราะว่าท่านยังมีความยินดีอยู่ เพราะฉะนั้น ท่านจึงขอรับทรัพย์กหาปณะหนึ่งจากอุบาสกนั้น ซึ่งเป็นการไม่ควรอย่างยิ่งสำหรับเพศสมณะ

    สำหรับเรื่องการรับเงินทองของพระภิกษุ ก็เป็นปัญหาอยู่เสมอ ตั้งแต่ครั้งที่ พระผู้มีพระภาคยังไม่ปรินิพพาน ว่าเป็นการกระทำที่ควรหรือไม่ควร

    ข้อความใน สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค มณิจูฬกสูตร มีว่า

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้นแล เมื่อราชบริษัทนั่งประชุมกันในพระราชวังสังสนทนากันว่า ทอง และเงินย่อมควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมยินดีทอง และเงิน ย่อมรับทอง และเงิน ฯ

    เหมือนพุทธบริษัทในสมัยนี้ไหม ยังคงเป็นปัญหาซึ่งมักจะสนทนากันอยู่เสมอว่า ควรหรือไม่ควร

    ข้อความต่อไปมีว่า

    ก็สมัยนั้นแล นายบ้านนามว่ามณิจูฬกะ นั่งอยู่ในบริษัทนั้น ครั้งนั้น นายบ้านนามว่ามณิจูฬกะได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า

    ท่านผู้เจริญ อย่าได้กล่าวอย่างนี้ ทอง และเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทอง และเงิน ย่อมไม่รับทอง และเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้ว และทอง ปราศจากทอง และเงิน นายบ้านมณิจูฬกะไม่อาจให้บริษัทนั้นยินยอมได้ ฯ

    ครั้งนั้น นายบ้านมณิจูฬกะจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มี-พระภาคว่า

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อราชบริษัทนั่งประชุมกันในพระราชวังสังสนทนากันว่า ทอง และเงินย่อมควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมยินดีทอง และเงิน เมื่อราชบริษัทกล่าวอย่างนี้ ข้าพระองค์ได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า ท่านผู้เจริญอย่าได้กล่าวอย่างนี้ ทอง และเงินย่อมไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทอง และเงิน ย่อมไม่รับทอง และเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้ว และทอง ปราศจากทอง และเงิน

    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ไม่อาจให้บริษัทนั้นยินยอมได้ เมื่อข้าพระองค์พยากรณ์อย่างนี้ ก็เป็นอันกล่าวตามคำที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว จะไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาคด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชนพึงติเตียนได้แลหรือ พระเจ้าข้า ฯ

    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

    ดีละ นายคามณี เมื่อท่านพยากรณ์อย่างนี้ เป็นอันกล่าวตามคำที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่ถึงฐานะอันวิญญูชนพึงติเตียนได้ เพราะว่าทอง และเงินไม่ควรแก่สมณศากยบุตร สมณศากยบุตรย่อมไม่ยินดีทอง และเงิน ย่อมไม่รับทอง และเงิน สมณศากยบุตรห้ามแก้ว และทอง ปราศจากทอง และเงิน

    ดูกร นายคามณี ทอง และเงินควรแก่ผู้ใด เบญจกามคุณก็ควรแก่ผู้นั้น เบญจกามคุณควรแก่ผู้ใด ทอง และเงินก็ควรแก่ผู้นั้น

    ดูกร นายคามณี ท่านพึงทรงความที่ควรแก่เบญจกามคุณนั้นโดยส่วนเดียวว่า ไม่ใช่ธรรมของสมณะ ไม่ใช่ธรรมของศากยบุตร อนึ่งเล่า เรากล่าวอย่างนี้ว่า ผู้ต้องการหญ้าพึงแสวงหาหญ้า ผู้ต้องการไม้พึงแสวงหาไม้ ผู้ต้องการเกวียนพึงแสวงหาเกวียน ผู้ต้องการบุรุษพึงแสวงหาบุรุษ เรามิได้กล่าวว่า สมณศากยบุตรพึงยินดี พึงแสวงหาทอง และเงินโดยปริยายอะไรเลย ฯ

    จบ สูตรที่ ๑๐

    ได้ทราบจากพระภิกษุบางรูปซึ่งท่านได้ศึกษาพระวินัยว่า ท่านใคร่ที่จะประพฤติปฏิบัติให้ตรงตามพระวินัยเท่าที่ท่านสามารถจะกระทำได้ และท่านก็ได้เห็นเหตุผล จริงๆ ว่า ด้วยเหตุใดพระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทไม่ให้ภิกษุยินดีหรือรับเงิน และทอง เพราะถึงแม้ว่าจะมีกิจหลายประการที่ชีวิตจะดำรงอยู่ได้โดยอาศัยปัจจัยคือ เงินทอง แต่สำหรับเพศสมณะ ถ้ามีความตั้งใจมั่นจริงๆ ที่จะขัดเกลากิเลส และพิจารณาพระวินัยบัญญัติทั้งหมดว่า ประโยชน์ของพระวินัยบัญญัตินั้นมีมากในการที่จะให้ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติตามได้ขัดเกลา ละคลาย บรรเทากิเลส ถ้ามีความตั้งใจมั่นที่จะประพฤติปฏิบัติตามแล้ว ก็สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยไม่รับทอง และเงิน โดยไม่ยินดีทอง และเงิน ในเรื่องของอาหารก็อยู่ได้ ในเรื่องของใช้ก็พอที่จะเป็นไปได้ เป็นสิ่งซึ่งพระภิกษุในครั้งโน้นท่านได้ประพฤติปฏิบัติเป็นปกติ และท่านก็ดำรงชีวิตอยู่ได้

    ด้วยเหตุว่า ความต้องการไม่ได้จำกัดเพียงแค่สิ่งที่จำเป็น เมื่อมีการรับเงินทอง และเข้าใจว่าจะใช้สำหรับสิ่งที่จำเป็นเท่านั้น แต่ในการใช้จริงๆ สิ่งที่คิดว่าจำเป็นก็จะก้าวต่อไปถึงสิ่งที่แม้ไม่จำเป็น ก็เข้าใจว่าเป็นส่วนที่จำเป็นส่วนหนึ่ง ถ้าคิดว่าสิ่งนั้นก็จำเป็น สิ่งนี้ก็จำเป็นในการที่จะรับเงินทอง การรับเงินทองจะไม่หยุดอยู่เพียงในสิ่งที่คิดว่าจำเป็น แต่จะก้าวต่อไปถึงสิ่งอื่น เรื่องอื่น ซึ่งไม่ใช่ความจำเป็นด้วย

    เพราะฉะนั้น เป็นเรื่องที่ยากสำหรับยุคสมัยต่างๆ แต่ว่าพระธรรมก็คือ พระธรรม พระวินัยก็คือพระวินัย สำหรับผู้ที่เห็นประโยชน์ในการขัดเกลา และมีความตั้งใจมั่นคงจริงๆ ก็ย่อมจะประพฤติปฏิบัติตามได้โดยที่ไม่ยากเกินไป


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 565


    หมายเลข 13201
    15 ต.ค. 2567