ควรจะอบรมเจริญปัญญาอย่างไร


    ถ. ผมยืนอยู่อย่างนี้ ก็รู้ว่าเรายืน ที่เราพูดนี้ ก็รู้ว่าเราพูด บางทีก็มีเวทนา เย็น ร้อน อ่อน แข็ง ผมพูดอย่างนี้ บางทีความรู้สึกเย็น ร้อน อ่อน แข็ง ก็ไม่รู้ ธรรมดาปกติทั่วไป จะเกิดมีเจตสิก คือ เวทนาร่วมกับร่วมกับความโลภ ความโกรธ ความหลง จะร่วมกับจิตอยู่เสมอ โดยมากรู้เพียงแค่นี้ ทีนี้คำว่า ดับ หมายความว่า เราต้องเอาปัญญาเข้ามาช่วย คือ ที่จะรู้ว่าปัญญาเกิดขึ้น ก็เมื่อรู้เวทนาที่เกิดขึ้น ใช่ไหม

    สุ. ยังเป็นตัวตน เพราะว่าการที่จะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องประจักษ์ความเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตน เป็นลักษณะของสภาพธรรมแต่ละลักษณะ แต่ละอย่าง ถ้ายังเป็นเรารู้ ก็ไม่ใช่หนทางที่จะดับกิเลสได้

    ถ. คำว่า เรา ผมพูดไม่ค่อยจะถูก คำว่า เรา โดยมากจะขึ้นต้นอยู่เรื่อย

    สุ. ตราบใดที่ปัญญายังไม่สามารถที่จะแยกโดยการประจักษ์ในลักษณะของนามธรรมซึ่งไม่ใช่รูปธรรม ในลักษณะของรูปธรรมซึ่งไม่ใช่นามธรรม ถ้าปัญญายังไม่สามารถที่จะประจักษ์แจ้งในลักษณะความขาดจากกันของนามธรรม และรูปธรรม ก็ยังไม่ประจักษ์ความเกิดดับ เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นต้องทราบตามความเป็นจริงว่า ประจักษ์แจ้งในลักษณะของนามธรรมซึ่งไม่ใช่รูปธรรมแล้วหรือยัง ต้องไปตามขั้น เป็นลำดับขั้น และการที่จะประจักษ์แจ้งว่านามธรรมไม่ใช่รูปธรรมนั้น ประจักษ์ได้อย่างไร ทางทวารไหน

    ถ. โดยมากเดี๋ยวนี้มันแล้วแต่ เกิดที่ไหนก็รู้ที่นั่น โดยมากไม่ได้เจาะจง เดี๋ยวนี้ผมไม่ได้เจาะจง เลิกแล้วไม่ปฏิบัติ เมื่อก่อนตั้งใจว่า จะไม่ให้เห็นรูปก็พยายามหลับตา ก็ไปเกิดอย่างอื่นขึ้นมาอีก

    สุ. ทำไมจะไม่ให้เห็นรูป ถ้าไม่ให้เห็นรูป ปัญญาจะประจักษ์แจ้งรู้ชัดว่า รูปนั้นไม่ใช่ตัวตนได้ไหม

    ถ. นั่นตามเดิม ตามของเก่า

    สุ. เพราะฉะนั้น ก็มีเหตุผลเพิ่มขึ้นใช่ไหม เมื่อมีการพิจารณาธรรมก็รู้ว่า ควรจะอบรมเจริญปัญญาอย่างไร จึงได้ละการที่จะไปหลับตาเสียไม่ให้เห็น และ พยายามที่จะไม่ให้คิดไม่ให้นึกต่างๆ ก็มีชีวิตที่ดำเนินไปตามปกติ

    ถ. เดี๋ยวนี้ผมเวลาทำงานไป ก็คิดไป บางทียกมือขึ้น ตีอะไรลงไปมันดัง ก็ไปได้ยินเสียงที่ดังเกิดขึ้นใหม่ มันสับสน บางทีก็ดีใจ บางทีก็แค้นใจ บางทีก็โกรธ ก็รู้ แต่ที่ว่า เราจะไม่ให้มันเกิด อย่างนี้ผมยังไม่เข้าใจ

    สุ. ใครจะไม่ให้อะไรเกิด การอบรมเจริญปัญญาไม่ใช่ไปบังคับไม่ให้อะไรเกิด แต่เป็นการระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีปัจจัยจึงเกิดขึ้นปรากฏ

    ถ. ผมข้องใจ ไม่เข้าใจ คือ พระท่านบอกว่า รูปนามดับ สติทั้งหลายก็ไม่เกิดขึ้น คำว่า รูปนามดับ มีความหมายพิสดารอย่างไร

    สุ. ไม่ต้องห่วงเรื่องกาลข้างหน้าที่ปัญญาจะต้องรู้ชัด ซึ่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อรู้ชัดเดี๋ยวนี้ก่อน ลักษณะของสภาพธรรมทางตาที่ไม่ใช่ตัวตนคืออย่างไร ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏทางหูที่ไม่ใช่ตัวตนคืออย่างไร ระลึกรู้ไปเรื่อยๆ ส่วนปัญญาที่จะประจักษ์แจ้งความเกิดดับเมื่อไรนั้น จะต้องเกิดขึ้นภายหลังปัญญาที่รู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมโดยชัดเจนเสียก่อน

    ถ. มีอีกคำหนึ่ง คำว่า นิมิต ที่ผมเล่าให้อาจารย์ฟังแล้วว่า มีคนจะมาตีผม แต่ผมก็เฉยๆ ผลที่สุดเขาก็เลิกไปเอง รู้ว่าไม่โกรธ แต่เกิดมีความสุขอะไรขึ้น ภายหลังมีอะไรขึ้นมา ผมก็ถือว่าเป็นนิมิต จะใช่หรือเปล่า

    สุ. พยายามอบรมความรู้ในลักษณะของสิ่งที่ปรากฏให้บ่อยขึ้น ให้เป็นความรู้ยิ่งขึ้น อย่างทางตาที่กำลังเห็นเป็นปกติ วันหนึ่งๆ ก็เห็นอยู่เรื่อย แต่การที่จะมีสติในขณะที่กำลังเห็นรู้ว่าไม่ใช่ตัวตน ต่างกับขณะที่หลงลืมสติ คือ ไม่ระลึกเลยว่า ขณะที่กำลังเห็นนี้ไม่ใช่ตัวตนอย่างไร นี่เป็นสิ่งที่จะต้องอบรมเจริญให้มากขึ้น และเมื่อมีการระลึกรู้เป็นปัญญาที่เพิ่มขึ้นแล้ว ก็ไม่เดือดร้อน จะประจักษ์การเกิดดับเมื่อไร อย่างไร ก็ไม่ใช่เป็นเรื่องที่จะต้องคิดสงสัยว่า ดับคืออย่างไร เพราะเหตุว่าขณะใดที่สงสัย ขณะนั้นเป็นตัวตน ไม่ใช่เป็นการรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรม

    เพราะฉะนั้น ต้องรู้ด้วยว่า ขณะที่สงสัยก็เป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง และสติก็ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมต่อไปอีก จนกว่าจะชินในสภาพธรรมแต่ละอย่าง ไม่ใช่แต่เฉพาะความรู้สึก แม้แต่ความจำ สิ่งที่ปรากฏทางตาเป็นแต่เพียงสีสัน-วัณณะต่างๆ ส่วนการที่จะรู้ว่าสิ่งที่ปรากฏทางตานั้นคืออะไร นั่นเป็นเรื่องของความจำ เพราะฉะนั้น ต้องรู้ว่าขณะใดเป็นจำ ขณะใดเป็นการรู้ลักษณะของสิ่งที่ปรากฏทางตา กำลังปรากฏทางตา ถ้าจำว่าสภาพรู้เป็นนามธรรม หรือว่าที่กำลังเห็นไม่ใช่ตัวตน เป็นแต่เพียงสภาพรู้ นี่เป็นความจำ ซึ่งต้องรู้ด้วยว่า ไม่ใช่สภาพธรรมที่กำลังเห็น หรือรู้สีที่ปรากฏทางตา

    ความละเอียดของธรรม จะต้องมีสติระลึก และพิจารณารู้ว่า เป็นแต่ละลักษณะจริงๆ เป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตนทั้งนั้น เพราะฉะนั้น เวลาที่เกิดสงสัยขึ้น ก็จะต้องระลึกรู้ว่า เป็นแต่เพียงสภาพสงสัย ไม่ใช่ตัวตน และก็มีลักษณะอื่นซึ่งไม่ใช่ลักษณะสงสัย

    นามธรรมก็มีมาก รูปธรรมก็มีมากที่สติจะต้องระลึกรู้จนกว่าจะทั่ว จนกว่าจะชิน จนกว่าจะละคลายการยึดถือ เมื่อค่อยๆ ละคลายการยึดถือ ก็จะประจักษ์ความเกิดดับได้

    ถ. รู้ แต่ปัญญายังไม่ทัน

    สุ. ไม่พอ ต้องอบรมจนกว่าจะเป็นปัญญาขั้นที่สามารถประจักษ์การเกิดดับได้จริงๆ จึงจะประจักษ์ได้ ไม่อย่างนั้นก็เป็นขั้นสงสัย ขั้นรู้บ้างไม่รู้บ้าง

    เพราะฉะนั้น เรื่องของการขัดเกลาการยึดถือนามธรรม และรูปธรรมว่าเป็นตัวตนจึงเป็นเรื่องใหญ่ มีสภาพธรรมมากมายที่เคยยึดถือว่าเป็นตัวตน สติจะต้องระลึกรู้เนืองๆ บ่อยๆ มากๆ จนกว่าจะรู้ชัด จนกว่าจะชินขึ้น จนละคลายได้

    ถ. ผมเคยทำบุญ ถือศีลบ้าง ทำบุญให้ทาน มีความปรารถนาจะให้พ้นทุกข์ เคยปรารถนาว่า เกิดชาติใดฉันใดก็ขอให้เจอพระพุทธศาสนา ได้ฟังธรรม ได้เจอปราชญ์ ได้เข้าใจในธรรมนั้น ความหวังนั้นไม่จำเป็นต้องคอยไปถึงชาติไหนหรอก ชาตินี้ได้พบอาจารย์ นับว่าเป็นโชคดีของผม ถามปัญหาเดี๋ยวนี้ หรือฟังธรรมตอนเช้าๆ ไม่ค่อยรู้เท่าไร ต้องฟังหลายๆ หน และนำไปคิด บางทีคิดทั้งวัน ๒ วัน ๓ วันกว่าจะรู้ความหมายของอาจารย์สักคำหนึ่ง ปัญญาของผมออกจะแย่ แต่จำแม่น กว่าจะได้สักเรื่อง ก็ยุ่งหน่อย

    สุ. เรื่องของการอบรมเจริญปัญญาที่จะละคลายกิเลส เป็นเรื่องที่ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป จริงๆ แม้แต่ในขั้นของความเข้าใจ ถ้าติดตามฟังพระธรรมอยู่เรื่อยๆ พิจารณาธรรมอยู่เรื่อยๆ จะเห็นได้ว่า ความเข้าใจเพิ่มขึ้นจากตอนต้นมาก แต่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อย โดยที่ไม่สามารถกำหนดได้ว่าเพิ่มขึ้นในตอนไหน แต่ว่าจะต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป เรื่อยๆ แม้การระลึกรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมก็ต้องเป็นไปในลักษณะนี้

    ถ. เดี๋ยวนี้เช้าๆ หรือกลางคืน ถ้าผมไม่ได้ฟังอาจารย์ เหมือนคนติดเฮโรอีน รู้สึกไม่สบายใจ พอได้ฟังก็สบายใจหน่อย แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ ปัญญาไม่ถึง

    สุ. ตราบใดที่ยังสงสัยอยู่ ให้ทราบว่าต้องอบรมเจริญสติอีกมากทีเดียว คือต้องรู้แม้แต่ลักษณะที่กำลังสงสัยว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรมชนิดหนึ่ง และไม่เยื่อใย ไม่ยึดถือ เพราะว่าความสงสัยไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา เพียงแต่ว่าการดับไปของสภาพธรรมที่สงสัยนั้นก็ดี หรือการเกิดสืบต่อของลักษณะสภาพธรรมอื่นก็ดี เป็นไปอย่างรวดเร็ว เมื่อสติยังไม่ได้ระลึกรู้จนทั่วก็ไม่ประจักษ์ว่า สภาพธรรมใดเกิดขึ้น สภาพธรรมใดดับไป

    ถ. ที่ผมปฏิบัติมาแล้ว เมื่อก่อนเข้าใจว่า ตัวเองเป็นอาจารย์ใหญ่คนหนึ่งเหมือนกัน เคราะห์ดีว่าไม่ไปนรกกับเขา ได้มาฟังอาจารย์บรรยาย ความรู้ความสามารถที่ปฏิบัติมาเพียงเล็กน้อยไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรเลย ได้พบอาจารย์นับว่าเป็นบุญของผม ถึงแม้จะไม่ได้เดินเข้าสู่อริยบุคคล ก็ยังเห็นช่องทางว่า เขาเข้ากันทางนี้ ไปกันทางนี้ ขออำนาจคุณพระรัตนตรัย ขอให้อาจารย์จงเจริญ

    สุ. ขออนุโมทนา และขอบพระคุณ ที่อนุโมทนาอย่างยิ่ง คือ ท่านสามารถทิ้งความเห็นผิด ความเข้าใจผิดแต่ก่อนนี้ได้ ไม่หลงผิดด้วยอำนาจความยินดี ความปรารถนา หรือความต้องการ เพราะถ้ามีความเห็นถูกเกิดขึ้น ย่อมเห็นว่าสิ่งใดเหมาะ สิ่งใดควร และข้อปฏิบัติอย่างไรจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเกิดขึ้นได้อย่างแท้จริง ถึงแม้ว่าจะเป็นหนทางที่ยาว แต่การเริ่มต้น ตั้งต้น ดำเนินไปเรื่อยๆ ในหนทางที่ถูก ก็ดีกว่าไปติดอยู่ในหนทางที่ผิดซึ่งไม่มีโอกาสจะทิ้ง และหันมาสู่หนทางที่ถูกได้


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 566


    หมายเลข 13203
    17 ต.ค. 2567