กุสลสูตร เรื่องการนอน
ข้อความใน อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต กุสลสูตร ข้อ ๒๘๘ มีข้อความเกี่ยวกับเรื่องการนอนว่า
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจาก ที่เร้นในเวลาเย็น เสด็จเข้าไปยังศาลาที่บำรุง ประทับนั่งบนอาสนะที่เขาปูลาดไว้แล้ว แม้ท่านพระสารีบุตรก็ออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เข้าไปยังศาลาที่บำรุง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แม้ท่านพระมหาโมคคัลลานะ แม้ท่านพระมหากัสสปะ แม้ท่านพระมหากัจจายนะ แม้ท่านพระมหาโกฏฐิกะ แม้ท่านพระมหาจุนทะ แม้ท่านพระมหากัปปินะ แม้ท่านพระอนุรุทธะ แม้ท่านพระเรวตะ แม้ท่านพระอานนท์ ก็ออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เข้าไปยังศาลาที่บำรุง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงยับยั้งอยู่ด้วยการประทับนั่งสิ้นราตรีเป็นอันมาก แล้วทรงลุกจากอาสนะเสด็จเข้าไปยังพระวิหาร แม้ท่านเหล่านั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเสร็จไปไม่นาน ต่างก็ลุกจากอาสนะ ได้ไปยังวิหารของตนๆ แต่พวกภิกษุใหม่บวชไม่นาน มาสู่ธรรมวินัยนี้ไม่นาน ต่างก็นอนหลับกัดฟันอยู่ ณ ศาลาที่บำรุงนั้นจน พระอาทิตย์ขึ้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงเห็นภิกษุเหล่านั้น ซึ่งต่างก็นอนหลับกัดฟันอยู่จนพระอาทิตย์ขึ้นด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ แล้วเสด็จเข้าไปยังศาลาที่บำรุง ประทับนั่งบนอาสนะที่ได้ปูลาดไว้แล้ว ตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย พระสารีบุตรไปไหน พระมหาโมคคัลลานะ พระมหากัสสปะ พระมหากัจจายนะ พระมหาโกฏฐิกะ พระมหาจุนทะ พระมหากัปปินะ พระอนุรุทธะ พระเรวตะ พระอานนท์ พระสาวกชั้นเถระเหล่านั้นไปไหน
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านเหล่านั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปไม่นาน ต่างก็ลุกจากอาสนะ แล้วได้ไปยังวิหารของตนๆ ฯ
นี่คือผู้มีสติไม่หลับ เมื่อพระผู้มีพระภาคประทับอยู่สิ้นราตรีเป็นอันมาก ท่านก็นั่งอย่างนั้น พอพระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากศาลาที่บำรุงกลับไปสู่พระวิหาร ไม่นาน ท่านเหล่านั้นก็กลับไปสู่วิหารของท่าน แต่ว่าพระภิกษุใหม่ไม่เป็นอย่างนั้น นอนหลับกัดฟันจนถึงพระอาทิตย์ขึ้น
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเป็นพระเถระหรือหนอ เธอทั้งหลายเป็นภิกษุใหม่ นอนหลับกัดฟันอยู่จนพระอาทิตย์ขึ้น
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอทั้งหลายได้เห็นหรือได้ฟังมาบ้างไหมว่า พระราชาผู้กษัตริย์ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว ทรงประกอบการนอนสบาย เอนข้างสบาย บรรทมหลับสบายตามพระประสงค์อยู่ เสวยราชสมบัติอยู่ตลอดพระชนม์ ย่อมเป็นที่รักเป็นที่พอใจของชาวชนบท ฯ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
หามิได้พระเจ้าข้า ฯ
ใครก็ตามซึ่งเป็นคนที่หมกมุ่นในการนอนสบาย นอนเพลิน ไม่กระทำหน้าที่ของตนให้ถูกต้องตามควรที่จะกระทำอย่างนั้น ก็ย่อมจะไม่เป็นที่รักที่ชอบใจของใคร แม้จะเป็นพระราชาผู้กษัตริย์ ได้รับมูรธาภิเษกแล้วก็ตาม
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ดีละ ข้อนั้นแม้เราก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟังมาแล้วว่า พระราชาผู้กษัตริย์ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว ทรงประกอบการนอนสบาย เอนข้างสบาย บรรทมหลับสบายตามพระประสงค์อยู่ เสวยราชสมบัติอยู่ตลอดพระชนม์ ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของชาวชนบท
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอทั้งหลายได้เห็นหรือได้ฟังมาบ้างไหมว่า ท่านผู้ครองรัฐ ท่านผู้เป็นทายาทแห่งตระกูล ท่านผู้เป็นเสนาบดี ท่านผู้ปกครองบ้าน ท่านผู้ปกครองหมู่คณะ ประกอบการนอนสบาย เอนข้างสบาย นอนหลับสบายตามประสงค์ ปกครองหมู่คณะอยู่ตลอดชีวิต ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของหมู่คณะ ฯ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ดีละ ข้อนั้นแม้เราก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟังมาแล้วว่า ท่านผู้ปกครองหมู่คณะ ประกอบการนอนสบาย เอนข้างสบาย นอนหลับสบายตามประสงค์ ปกครองหมู่คณะอยู่ตลอดชีวิต ย่อมเป็นที่รัก เป็นที่พอใจของหมู่คณะ
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เธอทั้งหลายได้เห็นหรือได้ฟังมาบ้างไหมว่า สมณะหรือพราหมณ์ประกอบการนอนสบาย เอนข้างสบาย นอนหลับสบายตามประสงค์ ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้ประมาณในโภชนะ ไม่ประกอบความเพียร ไม่เห็นแจ้งกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ประกอบการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลายแห่งวันคืน แล้วกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ ฯ
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
หามิได้ พระเจ้าข้า ฯ
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ดีละ ข้อนั้นแม้เราก็ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟังมาแล้วว่า สมณะหรือพราหมณ์ประกอบการนอนสบาย เอนข้างสบาย นอนหลับสบายตามประสงค์ ไม่คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย ไม่รู้ประมาณในโภชนะ ไม่ประกอบความเพียร ไม่เห็นแจ้งกุศลธรรมทั้งหลาย ไม่ประกอบการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลายแห่งวันคืน แล้วกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราทั้งหลายจักเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย จักเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะ จักเป็นผู้ประกอบความเพียร จักเป็นผู้เห็นแจ้งกุศลธรรมทั้งหลาย จักประกอบการเจริญโพธิปักขิยธรรมทั้งเบื้องต้น และเบื้องปลายแห่งวันคืนอยู่
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล ฯ
จบ สูตรที่ ๗
จริงไหม ถ้าเห็นภิกษุที่ท่านเอาแต่นอน จะรู้สึกอย่างไร มีศรัทธาเลื่อมใส อนุโมทนาหรือไม่ ตามความเป็นจริง ชาวบ้านจะเพ่งโทษติเตียนไหม และถึงแม้ฆราวาสเอง ถ้าเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติปัฏฐานจริงๆ จะไม่ห่วงการนอนเหมือนอย่างเคย บางท่านอาจเคยเป็นห่วงเรื่องการนอน คิดว่าท่านนอนน้อยไป หรือว่านอนไม่หลับ แต่ถ้าสติเกิดในเวลานั้นที่ไม่หลับ จะเห็นคุณค่าว่า การตื่นมีประโยชน์จริงๆ
ท่านจะนอนไม่หลับด้วยเหตุผลใดก็ตาม ไม่ควรจะกังวลเลย ถ้าสติเกิดจะเห็นค่าของการรู้ลักษณะของนามธรรม และรูปธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามความเป็นจริง เพราะว่านามธรรม และรูปธรรมแต่ละขณะย่อมเกิดขึ้นตามความวิจิตรของการสะสมของจิตของแต่ละท่าน
ทุกคนนอนอยู่ในเวลานอน แต่ว่าความวิจิตรของจิตทำให้สภาพนามธรรมทั้งหลายที่เกิดปรากฏในขณะนั้นต่างๆ กันไปตามการสะสม ซึ่งในขณะนั้นไม่ใช่ตัวตน แต่ถ้าสติไม่เกิด ไม่ระลึกรู้ จะไม่เห็นความไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่สัตว์บุคคลของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนั้นตามปกติตามความเป็นจริงเลย ซึ่งความวิจิตรของสภาพธรรมเป็นสิ่งที่ปัญญาควรจะรู้ชัด จึงจะละการยึดถือสภาพธรรมที่เกิดวิจิตรต่างๆ นั้น และรู้ว่าเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยจริงๆ
เพราะฉะนั้น ประโยชน์ของการเป็นผู้ที่มีปกติอบรมเจริญสติ จะทำให้ท่านไม่กังวล แม้ว่าจะนอนไม่หลับ หรือว่าเป็นผู้ที่นอนน้อย แต่ถ้าท่านเป็นผู้ที่ไม่อบรมเจริญสติปัฏฐาน อาจจะมีความปรารถนาในการนอนเพลิน หมกมุ่นในการนอน หรือว่าเป็นผู้ที่ใคร่ต่อการนอนโดยที่ไม่เห็นว่า ถึงแม้ว่าจะไม่หลับด้วยประการใดๆ ก็ตาม ถ้าสติเกิด สามารถที่จะสังเกต สำเหนียก ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่ปรากฏในขณะนั้น จะเป็นประโยชน์กว่าการหลับ
ที่มา ...