ทางลัดในการรู้แจ้งอริยสัจจธรรม


    เรื่องของทางลัด ควรพิจารณาว่าเป็นเรื่องของปัญญา หรือเป็นเรื่อง ของโลภะ ไม่ว่าจะได้ยินได้ฟังอะไรทั้งสิ้น จะเป็นบทความ จะเป็นความเห็น จะเป็นความคิด การสนทนาธรรมจากท่านผู้หนึ่งผู้ใดก็ตาม ผู้ฟังสามารถพิจารณาแม้คำที่พูด เช่น ถ้าใครกล่าวว่า มีทางลัดในการรู้แจ้งอริยสัจจธรรมบรรลุถึงพระนิพพาน เพียงเท่านี้ก็พิจารณาได้แล้วว่า ทางลัดนั้นเป็นโลภะ หรือว่าเป็นปัญญา เพราะว่า เป็นเรื่องที่จะต้องรู้ ไม่ใช่เป็นเรื่องพยายามลัดโดยไม่รู้

    ลักษณะของสภาพธรรมในขณะนี้มีจริงๆ ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงในพระไตรปิฎกทั้งหมดไม่ได้ตรัสเรื่องอะไรนอกไปจากเรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ซึ่งมีจริงๆ ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เพื่อให้ผู้ฟังในขณะนั้น ระลึกได้ว่า มีปัญญารู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏหรือเปล่า

    ไม่ใช่ว่าให้หาทางลัด หรือช่วยทำให้ลัด แต่มีความรู้ในลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏในขณะนี้ไหม ตั้งแต่ขั้นของการฟังจนกว่าจะเข้าใจ จนกระทั่งมีศรัทธา มีสติ มีวิริยะ มีสมาธิที่จะระลึกรู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏตรงตามที่ได้ฟัง และเข้าใจ เพราะว่าขั้นเข้าใจเรื่อง อาศัยการฟังเรื่องของจิต เรื่องของเจตสิก เรื่องของรูป เรื่องของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ นั่นเป็นการเข้าใจเรื่อง แต่ขณะที่สภาพธรรมกำลังปรากฏจริงๆ คือ กำลังเห็นในขณะนี้ ไม่ใช่เรื่องที่จะเข้าใจเรื่องหรือคิดเรื่องนั้น แต่สภาพธรรมกำลังมีให้พิสูจน์ปัญญาความเข้าใจว่า มีความรู้ความเข้าใจในลักษณะของสภาพธรรมตามที่ได้ยิน ได้ฟัง และได้เข้าใจแล้วในขั้นของการฟัง และจะต้องเข้าใจลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏด้วย นี่ไม่ใช่ทางลัด หรือถ้าจะกล่าวว่า ทางสั้น ก็ไม่มีทางไหนที่สั้น กว่านี้อีกแล้ว ถ้าไม่ระลึกรู้อย่างนี้ ไม่มีทางที่จะทำให้สั้นกว่านี้ได้ นี่เป็นทางที่สั้นที่สุด คือ มีสภาพธรรมกำลังปรากฏ และระลึกได้ว่า มีความรู้ ความเข้าใจในลักษณะของ สภาพธรรมที่กำลังปรากฏหรือยัง

    เพราะฉะนั้น อย่าหวังว่า ไม่มีความรู้ความเข้าใจเลย แต่เมื่อใกล้จะสิ้นชีวิต ก็จะเพียรที่จะรู้แจ้งอริยสัจจธรรม เข้าใจว่าในขณะนั้นจะรู้แจ้งได้ นั่นไม่เป็นเหตุเป็นผลทั้งสิ้น


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 1913


    หมายเลข 13320
    7 ธ.ค. 2567