การอบรมเจริญปัญญาเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปได้
ผู้ฟัง ที่อาจารย์พูดถึงธาตุวิภังคสูตรเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว สนใจกลับไปค้นดู เนื่องจากอาจารย์ไม่ได้อ่านทั้งหมดเพราะยาวมาก อยากรู้ว่า พระพุทธองค์ตรัส อย่างไรพระเจ้าปุกกุสาติจึงไม่ต้องถามอีก รีบกราบเลยว่า นี่คือพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน ผมไปอ่านเองแล้ว ไม่ได้ซาบซึ้งว่าเราจะกราบพระพุทธองค์เหมือนอย่างที่ พระเจ้าปุกกุสาติท่านกระทำเลย เพราะข้อความในธาตุวิภังค์นั้นคือการจำแนก ธาตุนั่นเอง พระพุทธองค์เริ่มด้วย ๖ ธาตุ มีมหาภูตรูป ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ แบบนี้ฟังมาแยะแล้ว อย่างไรๆ ก็ไม่มีทางซึ้งหรือ เห็นได้เลย อ่านอีกก็เท่านั้น และมีเรื่อง ๑๘ เอา ๓ เข้าไปคูณ เรื่องเห็นแล้วก็สุข ทุกข์ เฉยๆ อ่านแล้วก็ยังไม่ไปไหน แต่ก็ไม่ท้อ
สุ. ต้องพร้อมด้วยสติสัมปชัญญะในขณะที่ฟัง เห็นไหม การฟัง ก็ฟังเรื่องด้วยสติ เป็นกามาวจรกุศล เป็นมหากุศล และพิจารณาเข้าใจ นั่นเป็นสติขั้นหนึ่ง แต่ถ้าฟังด้วยสติสัมปชัญญะ คือ ระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ในขณะที่ฟัง ซึ่งมีลักษณะของสภาพธรรมจริงๆ
อย่างเรื่องของธาตุ ๖ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม อากาศธาตุ วิญญาณธาตุ ขณะนี้ทั้งนั้นเลย วิญญาณธาตุเป็นสภาพรู้ ขณะที่กำลังกระทบสัมผัสสิ่งที่แข็ง สติสัมปชัญญะระลึกที่ลักษณะของสภาพรู้ เมื่อเป็นธรรมชนิดหนึ่ง จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน และขณะที่กำลังรู้แข็ง สิ่งอื่นไม่ได้ปรากฏเลย
เมื่อรู้ว่าชีวิตของแต่ละบุคคลดำรงอยู่เพียงชั่วขณะจิตเดียว และขณะจิตหนึ่ง ที่กำลังเกิดขึ้นนี้ จะให้เป็นกุศล หรือจะให้หลงลืมสติ เพียงเท่านี้ก็จะเป็นเครื่องเตือน เพราะฉะนั้น พระธรรมเทศนาทั้งหมด ทั้ง ๓ ปิฎก เพื่อเตือนทุกแง่มุม ไม่ว่าจะในเรื่องของความประพฤติขัดเกลาที่เป็นพระวินัยบัญญัติ หรือเรื่องในพระสูตร เหตุการณ์ ต่างๆ ซึ่งเกิดในครั้งอดีตกาล และยังเนิ่นนานไปถึงพระชาติต่างๆ ขณะที่ทรงบำเพ็ญ พระบารมี จนถึงเหตุการณ์ในสมัยที่พระผู้มีพระภาคทรงตรัสรู้ ทรงแสดงธรรม ขณะที่ ยังไม่ทรงดับขันธปรินิพพาน และแม้เหตุการณ์ภายหลังนั้นก็เป็นเครื่องเตือน ให้แต่ละบุคคลได้เข้าใจลักษณะของสภาพธรรม และระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรม ซึ่งกำลังปรากฏกับแต่ละบุคคล
เรื่องของสติสัมปชัญญะหรือสติปัฏฐาน เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ที่จะว่าฟังแล้วเข้าใจหรือไม่เข้าใจ ฟังแล้วเข้าใจมากหรือเข้าใจนิดหน่อย หรือฟังเท่าไรก็ยังเหมือนเดิม ก็เพราะสติมีหลายขั้น และถ้าเป็นสติสัมปชัญญะที่เป็นสติปัฏฐาน สภาพธรรม ก็ปรากฏตามความเป็นจริงกับผู้ที่ได้อบรมเจริญปัญญาพร้อมที่จะรู้ลักษณะของ สภาพธรรมในขณะนั้น
การอบรมเจริญปัญญาเป็นสิ่งซึ่งเป็นไปได้ และท่านที่ได้อบรมเจริญปัญญาสำเร็จแล้ว ก็มีตั้งแต่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ จนกระทั่งถึงพระองค์นี้ จนกระทั่งถึงพระสาวกทั้งหลาย เพราะฉะนั้น แต่ละท่านซึ่งมีโอกาสได้ฟังพระธรรม ต้องมีความอดทนที่จะอบรมเจริญปัญญาไปเรื่อยๆ
ใจร้อนไม่ได้เลย ใช่ไหม ที่ว่าอยากจะศึกษาก็รีบร้อนศึกษา และ ในขณะนั้นก็ไม่ได้มีสติระลึกลักษณะของสภาพธรรม เพราะอยากจะรู้คำตอบ ในหนังสือที่ค้นคว้ากัน ก็เป็นชีวิตจริงๆ เป็นกาลที่สติปัฏฐานไม่เกิด จนกว่ามีปัจจัย ที่สติปัฏฐานจะเกิด เพราะฉะนั้น ทุกวันนี้ระลึกได้ขณะใด ก็ศึกษาในลักษณะของสภาพธรรมที่ไม่ใช่ตัวตน
ที่มา ...