ผู้ที่ทรงไว้ซึ่งปริยัติ ที่จะไม่พ้นทุกข์ ไม่มี


    พระคุณเจ้า ขอกราบพระเถระ ขอกราบพระสงฆ์ เจริญพรโยมอาจารย์ และญาติโยมทั้งหลาย จะขอสอบถามว่าในอรรถกถาท่านจะมีพูดว่าผู้ที่ทรงไว้ซึ่งปริยัติ ที่จะไม่พ้นทุกข์ ไม่มี คำว่าทรงปริยัติในที่นั้น จะทรงลักษณะอย่างไร

    ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มีการฟังพระพุทธพจน์ แต่พ้นทุกข์ได้หรือไม่ ไม่ได้ เมื่อมีการฟังพระพุทธพจน์ ไม่ใช่เพียงฟังแล้วไม่รอบรู้ ฟังว่าขณะนี้ธรรมมี เป็นอนัตตา พ้นทุกข์หรือยัง จนกระทั่งเข้าใจว่าขณะนี้ถ้าไม่มีความเข้าใจเลย เห็นเหมือนเดิมแล้วก็ไม่รู้เหมือนเดิม แต่ว่าเมื่อมีการฟังก็มีเห็นเหมือนเดิมแต่เริ่มฟังแล้วเข้าใจความจริงของเห็น เข้าใจความจริงของสิ่งที่กำลังปรากฏ เท่านี้ไม่พอ ปริยัติแสดงไว้เลยว่าเท่านี้ไม่พอ ไม่ใช่ปริยัติบอกว่าแค่นี้พอแล้ว แต่ปริยัติคือการศึกษาจนกระทั่งรอบรู้ในพระพุทธพจน์จนเป็นสัจญาณ ปริยัติหมายความถึงคำสอนทั้งหมดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเหตุว่าถ้ากล่าวถึงวินัย วินัยก็ต้องเป็นธรรม ถ้าไม่มีธรรม ไม่เป็นธรรม จะมีวินัยได้อย่างไร จะเอาอะไรมาขัดเกลากายวาจา ไม่ใช่ว่า พระวินัยกล่าวไว้ว่ามีศีล ๒๒๗ ข้อ ๑๕๐ ข้อเป็นศีลที่ไม่ขัดขวางการอบรมเจริญปัญญาที่จะรู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ส่วนอีก ๗๕ ข้อ เป็นเรื่องของอภิสมาจาร กิริยาอาการของพระภิกษุซึ่งเหมาะควรแก่เพศบรรพชิต และอีกสองข้อก็คืออนิยต นี่เป็นเรื่องที่ละเอียดมากซึ่งภิกษุทุกรูปได้ฟังแล้วต้องประพฤติปฏิบัติตาม ถ้าไม่ประพฤติปฏิบัติตามจะเป็นภิกษุได้อย่างไร ด้วยเหตุนี้พระธรรมวินัยทั้งหมดเป็นปริยัติไม่ใช่แต่เฉพาะพระสูตรหรือพระอภิธรรม แม้พระวินัยก็เป็นปริยัติด้วย แต่แยกออกเป็นส่วนของการที่พระภิกษุจะต้องประพฤติปฏิบัติ ซึ่งฆราวาสไม่ต้องประพฤติปฏิบัติเพราะเหตุว่า เพศของคฤหัสถ์ไม่ได้สามารถที่จะขัดเกลากิเลสดุจสังข์ขัดในเพศของบรรพชิตซึ่งบริสุทธิ์ตั้งแต่ตื่นจนหลับ

    ด้วยเหตุนี้การฟังพระธรรมต้องรู้จุดประสงค์ การบวชต้องรู้จุดประสงค์ การศึกษาธรรมะก็ต้องรู้จุดประสงค์ว่านำไปสู่ความเข้าใจที่จะอบรมเจริญปัญญายิ่งขึ้น เพราะถ้าไม่มีปริยัติ ความเข้าใจไม่เกิด แล้วทำไมปริยัติมีมากถึง ๔๕ พรรษา ก็เพราะเหตุว่าธรรมทั้งหลายลึกซึ้งมาก ถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงบำเพ็ญพระบารมีถึงความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็จะเป็นเพียงปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งสามารถที่จะรู้แจ้งสภาพธรรมด้วยตนเอง แต่ว่าไม่ประกอบด้วยพระญาณที่สามารถจะทรงจำแนกธรรมโดยละเอียดยิ่ง เพื่อให้คนฟังค่อยๆ เข้าใจขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้ทุกคำแม้แต่คำว่าเห็น ข้ามไม่ได้เลย ขณะนี้มีเห็น กำลังเห็น ไม่รู้เห็น แต่จะรู้ว่าเห็นไม่ใช่เรา เพราะใครก็ทำให้เห็นเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่มีตา เห็นก็เกิดไม่ได้ ถึงมีตา สิ่งที่จะกระทบตาได้ไม่กระทบ จิตเห็นก็เกิดไม่ได้ สิ่งนั้นก็ปรากฏว่ามีไม่ได้ เพราะฉะนั้นธรรมทุกอย่างเพียงหนึ่งที่ได้ตรัสไว้เป็นสิ่งที่ควรรู้ยิ่ง ตลอดชีวิตตั้งแต่เกิดจนตาย มิฉะนั้นก็เป็นความไม่รู้ และการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เพราะฉะนั้นไม่ใช่แต่พระวินัยอย่างเดียว ปริยัติ ศึกษาแล้วจะรู้ได้ว่าปริยัติไม่ใช่การที่จะไม่เข้าใจสภาพธรรมเมื่อปัญญาได้อบรมขึ้น เพราะปริยัติจะกล่าวถึงสติ จะกล่าวถึงสภาพธรรมทุกอย่าง แต่สติก็มีหลายขั้น สติในทางพระวินัยก็มี อินทรียสังวรก็เป็นสติที่จะสำรวมกายวาจา การเดิน การพูดต่างๆ เหล่านี้ก็ต้องมีสติ และก็สติในขณะที่กำลังฟังแล้วเข้าใจ ก็เป็นธรรมซึ่งไม่ใช่เรา แต่เพราะขณะนั้นกำลังไม่ไปรู้สิ่งอื่น แต่กำลังรู้ในคำ ในความหมายที่ได้ยิน จนกระทั่งเป็นความเข้าใจ เพราะฉะนั้นสติไม่ใช่เข้าใจ และสติที่เข้าใจในขั้นการที่ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังได้ยิน และปัญญาเข้าใจก็เป็นขั้นปริยัติ แต่ปริยัติก็แสดงต่อไปอีกว่ายังมีสติที่สามารถจะเกิดขึ้นรู้ความจริง ระลึกรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ แต่ไม่ได้เข้าใจ เพราะเหตุว่าความเข้าใจต้องเป็นหน้าที่ของปัญญาซึ่งได้อบรมมาแล้วตั้งแต่ขั้นฟังจนกระทั่งสามารถจะทำให้สติ และปัญญาระดับนั้นเกิดขึ้นได้

    เพราะฉะนั้น นี่คือปริยัติ ถ้าไม่มีปริยัติจะไม่มีอะไรที่จะนำไปสู่การเข้าใจสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามลำดับขั้น


    ที่มา และ ขอเชิญรับฟัง

    วินัยเป็นปริยัติ


    หมายเลข 13328
    18 ธ.ค. 2567