เรื่องของวันอุโบสถ
เรื่องของวันอุโบสถ หรืออุโบสถศีลนี้ก็เช่นเดียวกัน ในครั้งแรก พระผู้มีพระภาคยังไม่ได้ทรงบัญญัติอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ แต่ว่าวันอุโบสถนั้นมีมาแล้วในอดีตกาล ก่อนการตรัสรู้และการแสดงธรรมของพระผู้มีพระภาค มีการรักษาอุโบสถศีล คือ การที่จะชำระขัดเกลากิเลสเป็นพิเศษ เป็นกาลพิเศษ สืบต่อกันมาตั้งแต่ในอดีต แต่ว่าไม่พร้อมด้วยองค์ ๘ ดังข้อความใน มังคลัตถทีปนีแปล กถาว่าด้วยกรรมอันหาโทษมิได้ ข้อ ๑๐๖ ซึ่งมีข้อความว่า
ส่วนคำใดที่ท่านกล่าวไว้ใน อรรถกถา คังคมาลชาดก ใน อัฏฐกนิบาต ว่า บุตรและทาระ (ภรรยา) ก็ดี ชนบริวารก็ดีของเศรษฐีนั้น โดยที่สุดแม้คนเลี้ยงโคในเรือนนั้นๆ ทั้งหมด ย่อมเข้าจำอุโบสถเดือนละ ๖ วัน คำนั้น ท่านกล่าวหมายเอาอุโบสถที่ได้โดยกาลอื่นจากพุทธกาล
นัยว่าในครั้งนั้น การเข้าจำ กล่าวคือ การไม่รับประทานอาหารนั่นแหละ เขาเรียกกันว่าอุโบสถ หาใช่องค์ ๘ ไม่ แท้จริงองค์ ๘ นั้น ย่อมหาได้ในสมัยที่พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นเท่านั้น
เพราะฉะนั้น การที่จะพากเพียรชำระกิเลสในกาลพิเศษนี้ ได้มีปฏิบัติกันมาก่อน แต่ว่าไม่ใช่อุโบสถศีลที่ประกอบด้วยองค์ ๘ ที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติขึ้น
ขอกล่าวถึงต้นเหตุที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติวันอุโบสถ ใน พระวินัยปิฎก มหาวรรค อุโบสถขันธก เรื่องปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ข้อ ๑๔๗ มีข้อความว่า
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์ ครั้งนั้น พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ถึงวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ ย่อมประชุมกันกล่าวธรรม คนทั้งหลายเข้าไปหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นเพื่อฟังธรรม พวกเขาได้ความรัก ได้ความเลื่อมใส ในพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมได้พรรคพวก
ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช เสด็จไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีพระราชปริวิตกแห่งพระราชหฤทัยเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เดี๋ยวนี้ถึงวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำและ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมประชุมกันกล่าวธรรม คนทั้งหลายเข้าไปหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นเพื่อฟังธรรม พวกเขาได้ความรัก ได้ความเลื่อมใสในพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมได้พรรคพวก ไฉนหนอพระคุณเจ้าทั้งหลายพึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์บ้าง
จึงท้าวเธอเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท้าวเธอประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลข้อปริวิตกนั้นต่อพระผู้มีพระภาคว่า
พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เดี๋ยวนี้พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ถึงวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ ย่อมประชุมกันกล่าวธรรม คนทั้งหลายเข้าไปหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นเพื่อฟังธรรม พวกเขาได้ความรัก ได้ความเลื่อมใสในพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมได้พรรคพวก ไฉนหนอพระคุณเจ้าทั้งหลาย พึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์บ้าง
หม่อมฉันขอประทานพระวโรกาส ขอพระคุณเจ้าทั้งหลาย พึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์บ้างเถิด พระพุทธเจ้าข้า
ทรงแสดงธรรมีกถา
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชทรงเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว ครั้นท้าวเธออันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทำประทักษิณ เสด็จกลับไป
พระพุทธานุญาตวันประชุม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ประชุมกัน ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์
ประชุมนั่งนิ่ง
ข้อ ๑๔๘
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายพูดกันว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ ภิกษุเหล่านั้นจึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ แล้วนั่งนิ่งเสีย คนทั้งหลายเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นเพื่อฟังธรรม พวกเขาต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรประชุมกัน ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ จึงได้นั่งนิ่งเสียเหมือนสุกรอ้วนเล่า ธรรมเนียมภิกษุผู้ประชุมกันควรกล่าวธรรมมิใช่หรือ
ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระพุทธานุญาตให้กล่าวธรรม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ประชุมกันกล่าวธรรม ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์
ในครั้งที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติวันประชุม ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ในเบื้องแรกนั้นยังไม่ได้ทรงแสดงอุโบสถศีลเลย เพียงแต่ทรงบัญญัติวันที่ควรประชุมกันเพื่อฟังธรรม เพราะฉะนั้น การฟังธรรมเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในพระพุทธศาสนา ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นปัญญาที่สามารถดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท
เพราะฉะนั้น ประชุมเพื่อฟังธรรมก่อน ภายหลังจึงได้ทรงบัญญัติกรรมที่ควรจะกระทำในวันอุโบสถ เช่น ข้อความต่อไปมีว่า
พระพุทธานุญาตปาติโมกขุเทศ
ข้อ ๑๔๙
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไป ณ ที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีพระปริวิตกแห่งพระทัยเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอเราพึงอนุญาตสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ให้เป็นปาติโมกขุเทศของพวกเธอ ปาติโมกขุเทศนั้นจักเป็นอุโบสถกรรมของพวกเธอ
ครั้นเวลาสายัณห์ พระองค์เสด็จออกจากที่เร้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอเราพึงอนุญาตสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ให้เป็นปาติโมกขุเทศของพวกเธอ ปาติโมกขุเทศนั้นจักเป็นอุโบสถกรรมของพวกเธอ ดังนี้ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์
ท่านผู้ฟังจะเห็นได้ว่า ในวันที่จะประชุมกัน ไม่สามารถที่จะกระทำได้ทุกวัน เพราะว่าต่างก็มีกิจที่จะพึงกระทำ เพราะฉะนั้น เมื่อทรงบัญญัติกาลพิเศษที่จะประชุมกันเพื่อฟังธรรม ในวันนั้นก็ควรจะมีกรรม คือ การกระทำอื่นที่เป็นประโยชน์แก่พระภิกษุด้วย
เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงเห็นว่า ควรจะอนุญาตให้สิกขาบทที่พระองค์ทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายเป็นปาติโมกขุเทศ คือ มีการสวดปาติโมกข์เพื่อให้เข้าใจ เพื่อให้ทรงจำ เพื่อไม่ให้หลงลืม เพื่อให้ปฏิบัติถูกต้องตามพระวินัย เพื่อประโยชน์แก่การที่จะขัดเกลากิเลสในเพศของบรรพชิต จึงได้ทรงบัญญัติอนุญาตให้ปาติโมกขุเทสนั้นเป็นอุโบสถกรรมของพวกภิกษุ แต่ก็ยังไม่ได้ทรงแสดงเรื่องของอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘
และเพราะว่าประโยชน์ของฆราวาสและภิกษุเกี่ยวเนื่องกัน ฆราวาสจะต้องอาศัยการฟังธรรมจากบรรพชิต เพราะฉะนั้น เมื่อบรรพชิตประชุมในวันใด ฆราวาสก็ควรที่จะให้วันนั้นเป็นประโยชน์ในการฟังธรรมและในการขัดเกลากิเลสยิ่งขึ้น ตามที่พระผู้มีพระภาคได้ทรงบัญญัติ
แต่ก่อนนั้นยังไม่ได้ทรงบัญญัติเรื่องของอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ ซึ่งท่านผู้ฟังจะทราบว่า จุดประสงค์ของอุโบสถศีลอันประกอบด้วยองค์ ๘ คืออะไร จากการที่ศึกษาจากพระไตรปิฎก
ที่มา ...