ไม่คลุกคลีกับสิ่งที่จะทำให้เกิดอกุศล


    ที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมเรื่องของการไม่คลุกคลี เพราะว่าการคลุกคลีกันนั้นจะทำให้เกิดอกุศล โลภะบ้าง โทสะบ้าง พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงบังคับ แต่ทรงแสดงอานิสงส์ทรงแสดงประโยชน์ ซึ่งเราเองถ้าเราเจริญสติมาก ขึ้นบ่อยๆ เนืองๆ เราเองก็จะเว้นตั้งหลายอย่าง แล้วก็ไม่คลุกคลีกับสิ่งที่จะทำให้เกิดอกุศลที่เราเห็นว่าเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจมากขึ้นด้วย

    ฉะนั้น พระอริยบุคคลท่านก็เว้นเป็นลำดับขั้น อย่างเว้นทุจริตพระโสดาบันท่านเว้นไม่ล่วงละเมิดศีล ๕ เลย นั่นก็เป็นคุณธรรมของท่าน แต่ว่าผู้ที่เจริญสติอยู่หรือผู้ที่ยังไม่บรรลุคุณธรรมขั้นนั้นก็แล้วแต่ แต่ว่าไม่ได้ห้ามเลย หมายความว่าทรงแสดงประโยชน์ และผู้ใดเห็นประโยชน์ก็ค่อยๆ ประพฤติปฏิบัติไป แต่โดยมากเราไม่เข้าใจอย่างนี้ พอเห็นสักข้อความหนึ่งก็คิดว่าจะทำตามอย่างนั้น อย่างนี้ แต่เป็นชีวิตจริงๆ ของเราหรือเปล่า เป็นหนทางที่จะทำให้รู้ว่าธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวตนหรือเปล่า หรือว่าเป็นตัวตนที่บังคับให้ทำอย่างนั้น ต้องการอย่างนั้น อย่างเรื่องของการอยู่ป่าที่พระผู้มีพระภาคทรงสรรเสริญ ป่าจริงๆ ใต้ร่มไม้ในถ้ำ ซอกเขาอยู่ได้ไหมคะ? อยู่จริงๆ คงอยู่ไม่ได้แต่ให้อยู่เพื่อเจริญสติปัฏฐาน อาจจะอยู่ได้ใช่ไหม ฉะนั้นมีความหวังเกิดขึ้นว่าถ้าอยู่อย่างนั้นแล้วอาจจะเกิดความสงบอาจจะเกิดปัญญา เพราะความเข้าใจอย่างนั้นก็เลยทำให้อยู่ได้ แต่ไม่ใช่ชีวิตจริงๆ

    เพราะฉะนั้น การที่จะไม่รู้ชีวิตจริงๆ ไม่ทำให้ละคลายกิเลสเลย ไปด้วยความหวังพากเพียรทั้งวันทั้งคืนด้วยความหวังมาโดยไม่ได้อะไรเพราะว่าไม่ได้รู้ลักษณะจริงๆ ของตัวเอง โลภะเกิดขึ้นทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจเมื่อไร อย่างไร โทสะที่เกิดขึ้นไม่ใช่ตัวตน แต่เป็นสภาพธรรมของนามชนิดหนึ่ง การเห็นการจำได้ตามปกติในชีวิตประจำวันไม่เคยรู้เลย เมื่อไม่เคยรู้ จะละคลายจะหน่ายในชีวิตได้อย่างไร


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 17


    หมายเลข 13400
    7 เม.ย. 2568