เดี๋ยวนี้มีความไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีความเห็นผิด


    ผลต้องตรงกับเหตุ ไม่ใช่ว่าผลต้องการอย่างนี้ แล้วเจริญเหตุอีกอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นอย่างนั้นแล้วไม่มีหนทางเลยที่จะได้ผลที่ต้องการ ถ้าต้องการละคลายกิเลส ละคลายความไม่รู้ ละคลายความเห็นผิด ละคลายความสงสัยในนามรูปที่กำลังมีอยู่ ปัญญาที่จะละคลายความสงสัย จะละคลายเมื่อไร จะละคลายเพราะรู้แจ้งลักษณะของกำลังเห็น กำลังได้ยิน กำลังได้กลิ่น กำลังรู้รส กำลังนึกคิด หรือว่าไม่ใช่เดี๋ยวนี้

    นี่เป็นสิ่งที่จะต้องคิด เดี๋ยวนี้มีความสงสัย เดี๋ยวนี้มีความไม่รู้ เดี๋ยวนี้มีความเห็นผิด จะหมดได้ก็เมื่อเดี๋ยวนี้รู้ลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่คอยแล้ว ก็ไม่เลือก เพราะว่าเห็นผิดในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ สงสัยในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ ไม่รู้ในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ อย่างนี้แล้วเหตุและผลจะตรงกันไหม? อย่างบางท่าน บอกว่าไปหาความรู้ ถามว่าความรู้อะไร รู้ว่าจะนั่งอย่างไร ผู้ที่ไปสำนักของพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมอะไร ทรงสอนอะไร แม้ในเรื่องของการเจริญสติปัฏฐานต้องบอกให้นั่งไหม? ลองหาดู ถ้าเป็นอุบาสกอุบาสิกา ที่ได้สะสมอบรมเจริญบารมีมา พระผู้มีพระภาคทรงแสดงอนุปุพพิกถา ให้เห็นอานิสงส์ของทาน คือ การขัดเกลากิเลส ความตระหนี่ ความติดข้อง แล้วก็ให้เห็นคุณของศีล ให้เห็นอานิสงส์ของ ทาน ศีล คือ ทรงแสดงเรื่องของสวรรค์ แล้วก็ให้เห็นโทษของกาม แล้วก็ให้เห็นคุณของการออกจากกาม ซึ่งคำว่า "เนกขัมมะ" หรือการออกจากกามนี้ก็เป็นถ้อยคำซึ่งไม่ควรจะผ่าน น่าสนใจนะคะ เพราะเหตุว่าส่วนมากนั้นเข้าใจว่า "เนกขัมมะ" นั้นคือ การบวช การละอาคารบ้านเรือน แต่ว่าผู้ฟังในขณะนั้นเป็นอุบาสกเช่น ยศะกุลบุตรก็ได้ฟังอนุปุพพิกถา อนาถบิณฑิกเศรษฐีก็ได้ฟังอนุปุพพิกถา แต่ท่านยศะกุลบุตรนั้น ท่านสะสมบารมีที่จะได้บรรลุความเป็นพระอรหันต์ ท่านบิณฑิกเศรษฐีไม่ได้สะสมที่จะบรรลุคุณธรรมเพื่อการละอาคาร หรือการบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

    เพราะฉะนั้น ถึงแม้ว่าจะฟังเรื่องของเนกขัมมะ อนาถบิณฑิกเศรษฐีพิจารณาลักษณะของนามและรูป เพราะเหตุว่าเมื่อได้ทรงขัดเกลาจิตของผู้ฟังด้วยอนุปุพพิกถาแล้วก็ทรงแสดงอริยสัจจ์ อริยสัจจ์นี้ก็มี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค มรรคไม่ใช่ไม่มี สติปัฏฐานไม่ใช่ไม่มี มี เป็นการออกจากกามเพราะไม่พัวพันเพลิดเพลินไป โดยอาศัยสติพิจารณารู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ เป็นเนกขัมมะ เพราะฉะนั้น เวลาที่ท่านอนาถบิณฑิกะฟัง ไม่ใช่ท่านไม่มีเนกขัมมะ ท่านก็บรรลุเป็นพระโสดาบัน ท่านอนาถบิณฑิกะท่านก็บรรลุคุณธรรมเป็นพระโสดาบัน

    เพราะเหตุว่า พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงเรื่องของทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม และ เนกขัมมะการออกจากกาม ท่านพระยศะก็บรรลุเป็นพระโสดาบันเมื่อได้ฟัง แต่ภายหลังก็ขอบรรพชา ท่านมีเนกขัมมะด้วยข้อปฏิบัติ คือ มัคคมีองค์ ๘ ซึ่งเป็นการเจริญสติปัฏฐานก่อน แล้วท่านก็มีเนกขัมมะที่เป็นบรรพชาภายหลัง แต่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านได้ฟังเนกขัมมะ เห็นโทษของกาม เห็นคุณของการที่จะไม่พัวพัน แล้วท่านก็ได้ฟังอริยสัจจ์เจริญข้อปฏิบัติ บรรลุมรรคผลในขณะนั้น แต่ท่านไม่ได้บรรพชาท่านก็ยังคงเป็นฆราวาสอยู่ต่อไป นี่ก็ต้องเป็นวิสัยที่ต่างกัน แต่ให้เข้าใจในความหมายของเนกขัมมะด้วย


    ที่มา ...

    แนวทางเจริญวิปัสสนา ตอนที่ 18


    หมายเลข 13416
    9 เม.ย. 2568