ปุณโณวาทสูตร
ใน มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสน์ ปุณโณวาทสูตร
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับ ณ พระวิหารเชตวัน ท่านพระปุณณะออกจากที่หลีกเร้นในเวลาเย็น เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พอนั่งเรียบร้อยแล้วก็ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดสั่งสอนข้าพระองค์ ด้วยพระโอวาทย่อๆ พอที่ข้าพระองค์ได้สดับธรรมของพระผู้มีพระภาคแล้ว จะเป็นผู้ๆ เดียวหลีกออก ไม่ประมาท มีความเพียร ส่งตนไปในธรรมอยู่ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ปุณณะถ้าอย่างนั้นเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวต่อไป ซึ่งข้อความก็มีว่า พระผู้มีพระภาคก็ทรงโอวาทไม่ให้ท่านพระปุณณะติดใจเพลิดเพลินในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ในธัมมารมณ์นั่นเอง แล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสต่อไปว่า ดูกร ปุณณะ ก็เธออันเรากล่าวสอนด้วยโอวาทย่อๆ นี้แล้ว จะอยู่ในชนบทไหน
ซึ่งท่านพระปุณณะก็ได้กราบทูลว่า ท่านไปอยู่ชนบทชื่อว่า สุนาปรันตะซึ่งเป็นเมืองที่ผู้คนดุร้าย และภายในพรรษานั้นเองท่านแสดงธรรม มีคนกลับใจเป็นอุบาสก ๕๐๐ อุบาสิกา ๕๐๐ และท่านเอง ก็ได้ทำให้แจ้งซึ่งวิชชา ๓ ในพรรษานั้นเหมือนกัน ครั้นสมัยต่อมา ท่านได้ปรินิพพานแล้ว ครั้งนั้น ภิกษุมากด้วยกันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้วนั่งลง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ กุลบุตรชื่อ ปุณณะ ที่พระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนด้วยพระโอวาทย่อๆ นั้น ทำกาละเสียแล้ว เธอมีคติเป็นอย่างไร มีสัมปรายภพเป็นอย่างไร พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปุณณะกุลบุตรเป็นบัณฑิตได้บรรลุธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว ทั้งไม่ให้เราลำบากเพราะเหตุแห่งธรรม ดูกร ภิกษุทั้งหลาย ปุณณะกุลบุตรปรินิพพานแล้ว
ถึงแม้ว่าจะเป็นสูตรสั้นเพียงโอวาทย่อๆ ที่ว่าไม่ให้เพลินไป ไม่ให้ติดในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธัมมารมณ์ ก็จะต้องมีว่าทำอย่างไรจึงจะไม่เพลิน ถ้าไม่มีสติเกิดขึ้น ไม่พิจารณาใส่ใจที่ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏ ก็เพลินไปโดยง่ายและนานๆ ด้วย ถ้าเป็นโทสะ ความไม่แช่มชื่น ความไม่พอใจ ไม่มีสติเกิดขึ้น ไม่พิจารณา รู้ลักษณะของนามและรูปที่กำลังปรากฏในขณะนั้น ก็เพลินไปในเรื่องของโทสะ ในเรื่องของโมหะ เพราะฉะนั้น ถ้าขาดการเจริญสติ ไม่มีอะไรที่จะเป็นเครื่องกั้นความติดความเพลินไปในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธันมารมณ์ได้เลย
ที่มา ...